Talk of The Town

3 หุ้นใหญ่โรงไฟฟ้าสาหัส! โบรกฯ สั่ง “ขาย” หนีความเสี่ยงเพียบ


07 กุมภาพันธ์ 2568

เกาะติดสถานการณ์หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ ล่าสุดนักวิเคราะห์ประเมินหนัก หั่นคำแนะนำเหลือ “ขาย” หลังปัจจัยเสี่ยงเข้ามารุมเร้าเพียบ 

3 หุ้นใหญ่โรงไฟฟ้าสาหัส!_S2T (เว็บ).jpg

โดยนักวิเคราะห์บริษัท หลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด (มหาชน) ได้ออกบทวิเคราะห์หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า แต่ที่น่าสนใจ คือ ได้แนะนำให้ขาย 3 หุ้นใหญ่ของกลุ่มนี้

เริ่มที่ ปรับคำแนะนำ GPSC ลงเป็น “ขาย” ด้วยมีความเสี่ยงด้านนโยบายสูง และมองว่ามูลค่าพื้นฐานค่อนข้างแพงที่ 17 เท่า PE เทียบกับ EPS เติบโต เพียง 12/3/8% ในปี 2568-70 หลังปรับกำไรลง 13-30% เพื่อสะท้อนอัตรากำไรที่ลดลงของโรงไฟฟ้า SPP ทำให้ราคาเป้าหมายลดลงเหลือ 26 บาท

ทั้งนี้ปรับลดคำแนะนำ GPSC เป็น “ขาย” (จาก ซื้อ) เนื่องจาก 1.GPSC มีความเสี่ยงด้านนโยบายสูงเนื่องจากมีสัดส่วนโรงไฟฟ้า SPP สูง ปรับกำไรของ GPSC ลง 13-30% ในช่วงปี 2568-70 และราคาเป้าหมาย ลงเหลือ 26 บาท (จากเดิม 46 บาท) เพื่อสะท้อนผลกระทบจากความเสี่ยงดังกล่าว 

2.หลังปรับกำไรลง อัตราการเติบโตของ EPS ลดลงเหลือเพียง 12/3/8% และ ROE อยู่ที่ 5% ในช่วงปี 2568-70F ทำให้มูลค่าพื้นฐานของ GPSC ดูแพงที่ PE 17 เท่า บนปี 2568

3.ยังมีความเสี่ยงเพิ่มเติมต่อสัญญา IPP และเนื่องจากกว่า 90% ของฐานกำไรของ GPSC มาจากโครงการภายในประเทศ ทำให้มีความอ่อนไหวต่อความเสี่ยงด้านนโยบายมากกว่าบริษัทอื่นในกลุ่มฯ

ขณะที่ EGCO แม้มีความเสี่ยงด้านนโยบายในประเทศจำกัด แต่ปรับคำแนะนำ EGCO ลงเป็น “ขาย” เนื่องจากมองกำไรจะมีแนวโน้มลดลงจากส่วนแบ่งกำไรจากโครงการต่างประเทศที่แตะจุดสูงสุดไปแล้ว และ adder ที่หมดอายุ จึงปรับกำไรลง 9-12% ในปี 2568-70 และราคาเป้าหมายลงเหลือ 93.50 บาท

โดยปรับลดคำแนะนำ EGCO เป็น “ขาย” (จาก ซื้อ) เนื่องจาก 1. คาด EGCO จะมีกำไรลดลงเฉลี่ย 7% ต่อปี ในช่วงปี 2568-70 หลังปรับลดกำไรลง 9/10/12% ในปี 2568-70 เนื่องจากกำไรจากต่างประเทศที่ต่ำกว่าคาดและผลของความเสี่ยงด้านนโยบายต่อ SPP ราคาเป้าหมาย (ปีฐาน 2025F) ลดลงเป็น 93.50 บาท/หุ้น (จาก 150 บาท) 

2.คาดกำไรจากโรงไฟฟ้าถ่านหิน Quezon ในฟิลิปปินส์จะลดลงหลังสัญญาปัจจุบันหมดอายุในเดือน พ.ค. 2568 ซึ่งโครงการนี้สร้างกำไรให้ EGCO ถึง 33% ในงวด 9 เดือนปี 67

3.กำไรจากโครงการในต่างประเทศอื่นคาดแตะจุดสูงสุดแล้ว และ adder ของโรงไฟฟ้าพลังงานลม 80MW ในประเทศกำลังจะหมดอายุในปี 2569 

และ 4. ยังไม่มีกำลังการผลิตเพิ่มเติมมาทดแทนกำไรที่ลดลง จึงมองว่าที่ PE ที่ต่ำของ EGCO ที่ 6 เท่า และอัตราผลตอบแทนปันผล 6% ในปี 2568 เป็นระดับที่เหมาะสมแล้ว

หนึ่งในปัจจัยหลักที่กระทบกำไรของ EGCO คือการสิ้นสุดสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) ของโครงการ Quezon ในเดือนพ.ค.2568 แม้ EGCO กำลังดำเนินการเพื่อให้ได้สัญญาฉบับใหม่ แต่คาดว่ากำไรจาก Quezon จะลดลงจาก 3.5 พันล้านบาท ในปี 2567 เหลือ 1.5-1.6 พันล้านบาท ในปี 2568-69เพราะ 1.มีช่วงว่าง 7 เดือนก่อนสัญญาใหม่จะเริ่มในเดือน ม.ค. 69 

2.ความเป็นไปได้ที่สัญญาจัดหาไฟฟ้าจากภาคเอกชน (PSA) จะให้ผลกำไรต่ำกว่า PPA ปัจจุบันกับ Meralco และ 3. ปริมาณการรับซื้อไฟฟ้าในสัญญา PSA น่าจะลดลงจาก 460MW ในสัญญาเดิมเหลือ 400MW

อีกทั้งคาดว่ากำไรจากโรงไฟฟ้าก๊าซ Paju 893MW ในเกาหลีของ EGCO จะทยอยลดลงจากระดับที่สูงเป็นพิเศษในปี 2566 เนื่องจากประโยชน์ที่ได้จากราคา LNG พุ่งสูงขึ้นเมื่อเทียบกับราคาซื้อตามสัญญาระยะยาวทยอยลดลง ขณะที่คาดประโยชน์จากภาวะอุปทานตึงตัวในตลาดสหรัฐจะแตะจุดสูงสุดในปี 2568-69 และทยอยลดลงตามการพัฒนาโรงไฟฟ้าก๊าซที่เร็วขึ้นในยุคการบริหารของทรัมป์ 

และแม้โรงไฟฟ้าพลังงานลมนอกชายฝั่ง Yunlin กำลังการผลิต 640 MW ที่ EGCO ถือหุ้น 27% ในไต้หวัน เริ่มดำเนินการครบแล้วในไตรมาส 4/67 หลังล่าช้ามานานถึง 3 ปี แต่เราคาดจะสร้างกำไรได้เพียงเล็กน้อย เนื่องจากถูกหักล้างด้วยค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยสำหรับหนี้สินจำนวนมากที่เกิดขึ้นชดเชยค่าใช้จ่ายการลงทุนที่เกินงบประมาณ

ด้าน BGRIM แนะนำ “ขาย”  โดยมองราคาหุ้นแพงที่ PE 29 เท่าบนปี 2568 ในขณะที่ได้รับผลกระทบจากความเสี่ยงนโยบายอย่างหนัก และยังมีความเสี่ยงจากการพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานลมนอกชายฝั่งและธุรกิจด้านดาต้าเซนเตอร์ ราคาเป้าหมาย BGRIM ลดลงเหลือ 12.8 บาท/หุ้น

โดยมองว่า BGRIM มีฐานะความเสี่ยงด้านนโยบาย เนื่องจากโรงไฟฟ้า SPP คิดเป็น 68% ของกำลังการผลิตรวม โดยราว 25% ของการผลิตเป็นการขายไฟฟ้าให้ลูกค้าอุตสาหกรรม (IU) ในราคาที่โยงกับราคาไฟฟ้าของประเทศ จึงคาดว่าราคาไฟฟ้าที่ลดลงจากการปรับโครงสร้างราคาไฟฟ้าของรัฐบาลจะทำให้อัตรากำไรของ SPP หดตัวลงตาม 

เนื่องจากเชื่อว่าแผนดังกล่าวจะมุ่งเน้นการลดต้นทุนคงที่ของระบบ มากกว่าการจัดการลดต้นทุนราคาพลังงาน ซึ่งโรงไฟฟ้า SPP จะไม่ได้รับประโยชน์จากการลดต้นทุนส่วนนี้ เราคาด spark margin (ราคาขายเฉลี่ย-ต้นทุนก๊าซต่อหน่วย) ของการขายไฟฟ้าให้ IU จะทยอยลดลงเหลือ 1.1 บาท/kWh ในปี 73 จาก 1.3 บาทในปี 2568 และ 1.2 บาทก่อนวิกฤติราคาพลังงานปี 2565

ขณะที่มองว่าเป็นความโชคร้ายที่แผนการเปลี่ยนโครงสร้างธุรกิจของ BGRIM เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ท้าทายของอุตสาหกรรม ทำให้แผนที่จะขายโรงไฟฟ้า SPP ออกบางส่วนเพื่อไปลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนใหม่ราว 1.36 แสนล้านบาท ในระหว่างปี 2568-73 อาจทำได้ยากท่ามกลางความเสี่ยงด้านนโยบายที่เพิ่มขึ้นนี้ 

โดยไม่ได้มีมุมมองบวกมากนักต่อการขยายการลงทุนไปยังธุรกิจดาต้าเซนเตอร์ของ BGRIM ซึ่งอาจเพิ่มภาระการลงทุนอีกราว 1 หมื่นล้านบาท ในช่วงปี 2568-71 บนภาระการลงทุนที่สูงอยู่เดิมแล้ว ด้วยธุรกิจต้องใช้เวลานานในการทยอยสร้างฐานรายได้ บนภาระการลงทุนที่สูงนี้ เราคาดว่า BGRIM จะมีกระแสเงินสดอิสระติดลบในช่วงปี 2569-72

ดังนั้นคาดว่า EPS ของ BGRIM จะผันผวนสูงโดยมีการเติบโต -16/-7/34% ในระหว่างปี 2568-70 เนื่องจาก คาดผลกระทบจากการปรับลดราคาไฟฟ้าของประเทศจะเกิดขึ้นในช่วงปี 2568-69 ก่อนอบการเติบโตกำไรใหม่เริ่มขึ้นในปี 2570 เมื่อโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมนอกชายฝั่งทยอยเริ่มดำเนินงาน ทั้งนี้ไม่ได้รวมแผนการขายโครงการ SPP เข้าในประมาณการ เนื่องจากยังไม่มีรายละเอียดที่ชัดเจนเกี่ยวกับแผนดังกล่าว

3-หุ้นใหญ่โรงไฟฟ้าสาหัส!.jpg