Talk of The Town

คัด 7 หุ้นพื้นฐานดี เข้าสู่ “Value Zone”


10 กุมภาพันธ์ 2568

ในปัจจุบันตลาดหุ้นไทยถือเป็นตลาดเดียวที่สร้างผลตอบแทนและความเคลื่อนไหวของดัชนีแย่ที่สุด โดยจากต้นปีถึงปัจจุบันได้ปรับตัวลดลงถึง 9.86% มาอยู่ที่ 1,262 จุด แต่ ณ จุดดังกล่าวจะเป็นจุดที่นักลงทุนจะต้องรับมืออย่างไรนั้น ในวันนี้ทางสำนักข่าว Share2Trade ก็มีมุมมองการลงทุนที่น่าสนใจมาแบ่งปันกัน

คัด 7 หุ้นพื้นฐานดี__S2T (เว็บ) copy.jpg

นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ให้มุมมองว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงแรงถึง 9.86% จากต้นปีถึงปัจจุบันและอยู่ใน “Value Zone” จากการตรวจสอบค่าที่สะท้อนภาวะ “Value Market”  ในมิติอื่นๆ อีก 4 มิติ พบว่า ตลาดหุ้นไทย ควรค่าแก่การลงทุนระยะยาว และเป็น Deep Value Zone อย่างแท้จริง 

 โดยประเมินผลกระทบรอบนี้ เกิดจาก แรงขาย Panic Sell จากการปรับลดน้ำหนัก DELTA และแรงขายกองทุน LTF ขณะที่ระดับ SET ตั้งแต่ต่ำกว่า 1,300 จุด เริ่มเห็นเม็ดเงินใหม่ที่มีโอกาสเข้ามา จึงมองแนวโน้มตลาดอยู่ในช่วงสร้างฐานระดับแนวรับเชิงพื้นฐานที่กรอบ 1,270-1,250 จุด 

ขณะที่แนวรับเชิงโครงสร้างเทคนิคระยะยาวของรายเดือนจากฐานปี 2008 สู่ปัจจุบัน อยู่ใกล้เคียงกันที่ 1,225 จุด ซึ่งเป็นโซนเหมาะสม สำหรับ Domestic Long Term Fund ที่จะเพิ่มน้ำหนักการลงทุนหุ้นไทย หรือ นักลงทุนที่ต้องการการออมในระยะยาว

ทั้งนี้ คัดเลือกหุ้นพื้นฐานดีที่มีคุณสมบัติเป็นหุ้น Value ด้วยเงื่อนไขใกล้เคียง SET และธุรกิจมีความสามารถในการแข่งขันสูงทั้งภายในภายนอก และพร้อมเติบโตในอีก 3 ปีข้างหน้า ใน “Theme 7 Value Stocks” ประกอบไปด้วย CPALL, BDMS, MINT, BH, GPSC, SCGP และ HMPRO

สำหรับปัจจัยพื้นฐานทั้ง 7 หุ้น เริ่มกันที่ CPALL นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 70 บาท โดยการปรับตัวลงของราคาหุ้นที่ 14% เป็นโอกาสสะสม เนื่องจาก CPALL อาจเข้าร่วมลงทุนที่ Seven & I ซึ่งเป็นแฟรนไชส์ของร้านสะดวกซื้อ 7-11 ทั่วโลก ซึ่งจะช่วยเกิดการทำงานร่วมกันเพิ่มเติมระหว่าง  7&i และ CPALL จากความสามารถจัดการแฟรนไชส์ในประเทศอื่นๆ ได้มากขึ้น โดยเฉพาะในอาเซียน

ขณะเดียวกัน CPALL เป็นตัวเลือกอันดับต้นๆสำหรับภาคการพาณิชย์โดยซื้อขายบน P/E ที่ 16.2 เท่า ซึ่งถูกที่สุดในภาคการพาณิชย์โดยไม่ต้องการมากนักโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาจากสถานะที่โดดเด่นในธุรกิจ CVS ที่เติบโตอย่างรวดเร็วในประเทศไทย

BDMS นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 37.60 บาท จากแนวโน้มผลประกอบการปี 2568 ที่ทำสถิติสูงสุดต่อเนื่องรับผลบวกจากการเติบโตของกลุ่มลูกค้าต่างชาติ และการขยายศูนย์การแพทย์เฉพาะทาง นอกจากนี้บริษัทมีแผนในการขยายธุรกิจต่อเนื่องรองรับการเติบโตในระยะยาว

MINT นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 36 บาท เนื่องจากหุ้นซื้อขายต่ำกว่าช่วงที่มีการระบาด COVID-19 ทั้งในแง่ของราคาหุ้น, P/E, P/BV และ EV/EBITDA รวมถึงแผนการขยายธุรกิจ ความคืบหน้าการจัดตั้งกอง REIT และแผนการลดภาระหนี้สินจะเป็นปัจจัยช่วยหนุนให้ราคาหุ้นฟื้นตัวในระยะถัดไป

BH นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 226 บาท เนื่องจากราคาหุ้นอาจปรับตัวสูงขึ้นหากผู้ป่วยชาวคูเวตที่ได้รับเงินอุดหนุนค่ารักษาจากรัฐกลับมาและมีผู้ป่วยชาวต่างชาติเข้ามาใช้บริการจำนวนเพิ่มขึ้น ขณะที่ราคาหุ้นและดัชนีกลุ่มการแพทย์น่าจะสะท้อนความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มการเติบโตของรายได้และกำไรแล้ว

GPSC นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 39 บาท เพราะราคาหุ้นสะท้อนข่าวลบไปมากแล้ว, บริษัทกำลังทยอยปรับสัญญาค่าไฟเป็น Gas-link ช่วยลดผลกระทบ, กำไรปี 2568 ยังเติบโตจากปีก่อนหน้า, แผนการเติบโตไม่ได้พึ่งพากำลังผลิตในประเทศเป็นหลัก

SCGP นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 22 บาท สำหรับการลงทุนระยะยาว อย่างไรก็ตามในช่วงสั้นการฟื้นตัวของราคาหุ้นอาจยังถูกจำกัดจากตัวเลขเศรษฐกิจจีนที่ยังไม่ฟื้นตัว เชิงกลยุทธ์ จึงแนะนำ ทยอยสะสมแบบตั้งรับ

HMPRO บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 13.20 บาท ความน่าสนใจของ HMPRO ยังอยู่ที่ผลตอบแทนในรูปเงินปันผลที่สูงกว่ากลุ่มฯ โดยคาดว่าจะอยู่ที่ 4-5% ในปี 2568 อย่างไรก็ดีการเติบโตยังมีความท้าทายประกอบด้วยการฟื้นตัวที่ช้าของกำลังซื้อและในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และการแข่งขันที่สูงขึ้นจากไทวัสดุขยายเครือข่ายสาขาเป็นจำนวนมาก

คัด 7 หุ้นพื้นฐานดี__S2T (เพจ) copy.jpg