โบรกฯ หั่นเป้า PTTGC-GPSC เหตุธุรกิจปิโตร-โรงกลั่นยังไม่ฟื้น นโยบายรัฐแทรกแซงค่าไฟยังกดดัน
นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ได้ปรับประมาณการกำไร และราคาเป้าหมายลงของ สองบริษัทยักษ์ใหญ่ในกลุ่มปตท.หลังจากที่ประกาศผลการดำเนินงานงวดปี 2567 เรียบร้อยแล้ว โดยปรับราคาเป้าหมายของ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC และ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC เนื่องจากธุรกิจยังได้รับปัจจัยกดดัน
โดยนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) คงคำแนะนำ “ถือ” ที่ราคาเป้าหมายใหม่ปี 68 ที่ 21.00 บาท (เดิม 25.00 บาท) อิง PBV เป้าหมายใหม่ที่ 0.36x (เท่ากับ -2.75SD ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย PBV 5 ปีย้อนหลัง) โดย PTTGC ประกาศขาดทุนสุทธิในไตรมาส 4/67 ที่ 1.17 หมื่นล้านบาท เทียบกับกำไร 5.1 พันล้านบาทในไตรมาส 4/66 และขาดทุน 1.93 หมื่นล้านบาทในไตรมาส 3/67 ต่ำกว่าที่ตลาดประเมินขาดทุนสุทธิที่ 1.03 หมื่นล้านบาท
โดยผลประกอบการที่พลิกเป็นขาดทุนจากปีก่อน เป็นผลจากการตั้งสำรองการเปลี่ยน โครงสร้างธุรกิจของบริษัท Vencorex และ PTT Asahi Co.Ltd. (PTTAC) ขณะที่ดีขึ้นจากไตรมาสก่อน จากการหายไปของผลขาดทุนจากการตั้งสำรองด้อยค่าของ สินทรัพย์ (loss on impairment of assets) โดยบริษัทรายงาน Adjusted EBITDA ที่อ่อนตัวลงในทุกธุรกิจในไตรมาสนี้ ซึ่งหลักๆเป็นผลจากราคาและ ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ (spread) ที่อ่อนตัว
ขณะเดียวกันเชื่อว่าผลประกอบการของบริษัทจะยังคงอ่อนแอในไตรมาส 1/68 ตามแนวโน้ม spread ในธุรกิจ ปิโตรเคมีและ โรงกลั่นยังทรงตัวต่ำ อย่างไรก็ดี บริษัทประกาศจ่ายเงินปันผลสำหรับผล ประกอบการปี 67 ที่ 0.50 บาทต่อหุ้น (สะท้อนอัตราตอบแทนเงินปันผลที่ 2.5%) โดยจะขึ้น XD วันที่ 3 มี.ค. 68
ทั้งนี้ปรับประมาณการปี 68 ลงเล็กน้อยหลักๆเพื่อสะท้อน olefins spread และค่าการกลั่นตลาด (market GRM) ที่ลดลง อย่างไรก็ดีเชื่อว่าบริษัทจะเห็นกำไรฟื้นตัวต่อเนื่องในปี 69 เพิ่มขึ้น 55% จากปีก่อน โดยมีแรงหนุนจาก PE spread ที่ดีขึ้นราคาหุ้นปรับตัวลง 18% และ underperform SET 15% ใน 6 เดือน สะท้อนความกังวลต่อแนวโน้ม PE spread ที่อ่อนตัวจากภาพรวมอุปสงค์การใช้พลาสติกที่ฟื้นตัวช้าตามเศรษฐกิจของจีน
อย่างไรก็ตามแม้เชื่อว่าราคาปัจจุบันได้สะท้อนปัจจัยลบเหล่านี้ไปมากแล้วและล่าสุดราคาหุ้นสะท้อน valuation ที่ไม่แพงที่ 2025E PBV = 0.34x (ประมาณ -2.85SD ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย PBV 5 ปีย้อนหลัง) แม้เชื่อว่า บริษัทน่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วเนื่องจากการรับรู้ loss on impairment of assets และการตั้งสำรองการเปลี่ยนโครงสร้างธุรกิจของบริษัท Vencorex และ PTTAC น่าจะหมดแล้ว แต่ยังไม่เห็นปัจจัยหนุนในระยะสั้นถึงกลางเนื่องจาก ภาพรวมอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและโรงกลั่นที่ยังคงอ่อนแอ
GPSC นโยบายรัฐแทรกแซงค่าไฟ
ปรับคำแนะนำลงเป็น “ถือ” (เดิม “ซื้อ”) และปรับราคาเป้าหมายลงเป็น 40.00 บาท จากเดิม 60.00 บาท อิง DCF (WACC 5.9%, TG 0%) หลังปรับประมาณ การลงกังวลการแทรกแซงค่าไฟฟ้าของภาครัฐ ทั้งนี้บริษัทประกาศงบ ไตรมาส 4/67 กำไรสุทธิ 1 พันล้านบาท (ใกล้เคียงตลาดประเมิน)
อย่างไรก็ตามหากตัด รายการพิเศษออกกำไรปกติอยู่ที่ 729 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 66% จากปีก่อน แต่ลดลง 32% จากไตรมาสก่อน โดยสาเหตุที่ลดลงจากปีก่อนปรับตัวเพิ่มขึ้นจากโรงไฟฟ้า SPP หลังมีการปรับค่า Ft ให้สูงขึ้น และ ต้นทุนก๊าซธรรมชาติ ลดลง 3% จากปีก่อน และลดลง 7% จากไตรมาสก่อน และถ่านหิน ลดลง 12% จากปีก่อน ลดลง 2% จากไตรมาสก่อนที่ลดลง ในขณะที่ไตรมาสก่อน ลดลงจากปัจจัยฤดูกาลโรงไฟฟ้า IPP, SPP แม้กำไรปกติปี 67 ออกมาใกล้เคียงประมาณการของเรา
ทั้งนี้ปรับประมาณการกำไรปกติปี 68 ลงมาที่ 4.5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% จากปีก่อน ปรับลดลงจากประมาณการเดิมลดลง 30% เหตุกังวลการแทรกแซงค่าไฟฟ้าของภาครัฐ ที่มีความเข้มข้นมากขึ้น โดยมีความพยายามผลักดันให้ค่าไฟฟ้าลงมาอยู่ที่ระดับ 3.7 บาท/หน่วย
อย่างไรก็ตามหากเกิดขึ้นจริงคาดว่าน่าจะเกิดในงวดสุดท้ายของปี 68 เนื่องจากต้องใช้เวลาในการดำเนินการ แต่ทั้งนี้ประกอบการปี 68 ยังคงได้รับแรงหนุนจากผลประกอบการของโครงการ Avaada ซึ่งทยอย COD ต่อเนื่อง (2.0GW ในปี 67 เป็น 8.7GW ในปี 2570 และโครงการ CFXD 149MW เดินเครื่องเต็มในปี 68
รวมถึงโครงการไซยะบุรีซึ่งคาดว่าไม่มีหยุดเดินเครื่องอีกราคาหุ้นกลับมาเคลื่อนไหวใกล้เคียง SET ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ประเมินตลาด priced in ความกังวลเรื่องการแทรกแซง ค่าไฟฟ้าจากภาครัฐไปพอสมควร อย่างไรก็ตามประเด็นดังกล่าวยังมีความไม่ แน่นอนสูงว่าใช้แนวทางใด ซึ่งคาดว่าจะยังเป็นปัจจัย overhang ราคาหุ้นต่อไป จนกว่าจะเห็นความชัดเจน