7 หุ้น “ธนาคาร” ฮอตไม่เลิก! ราคาวิ่งแรง ดันมาร์เก็ตแคปพุ่ง 1.2 แสนลบ.
หุ้นกลุ่มธนาคารโดดเด่นอย่างต่อเนื่อง โดยเปิดต้นปี 2568 ผ่านไปไม่ถึง 2 เดือน สิ้นสุด 19 ก.พ.2568 แต่ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่น ส่วนทางดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในช่วงเวลาเดียวกัน ปรับตัวลดลงกว่า 137 จุด
ล่าสุดมีประเด็นบวก จาก ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พร้อมทบทวนเกณฑ์ LTV หลังนักธุรกิจภาคอสังหาฯ เข้าหารือ
โดยความเห็นนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ประเมินว่า กลุ่มธนาคาร มองเป็นบวก หากมาตรการนี้เกิดขึ้นได้จริงจะช่วยให้คนเข้าถึงสินเชื่อบ้านได้มากขึ้น ซึ่งธนาคารที่มีสัดส่วนสินเชื่อบ้านจากมากไปน้อย คือ SCB 32%, TTB 26%, KTB 19%, KBANK 17%
ดังนั้นทั้งนี้ยังคงน้ำหนักการลงทุนลงเป็น “มากกว่าตลาด” โดยเลือก KTB (ซื้อ เป้าหมาย 24.50 บาท) และ BBL (ซื้อ เป้าหมาย 186.00 บาท) เป็น Top pick ส่วน SCB (ถือ เป้าหมาย 125.00 บาท), TTB (ซื้อ เป้าหมาย 2.22 บาท), KTB (ซื้อ เป้าหมาย 24.50 บาท) และ KBANK (ซื้อ เป้าหมาย 176.00 บาท) จะได้ sentiment เชิงบวกต่อราคาหุ้นจากประเด็นดังกล่าว
ทีมข่าว Share2Trade ตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมผ่าน SETSMART พบว่า หุ้นกลุ่มธนาคารในช่วงต้นปี 2568 ถึงวันที่ 19 ก.พ.2568 ส่วนใหญ่เคลื่อนไหวในแดนบวก มีเพียง CREDIT และ BAY เท่านั้นที่ราคาหุ้นเคลื่อนไหวในแดนลบ
โดยหุ้นที่ราคาบวกแรงสุด 7 อันดับ (ไม่นับรวม CIMBT ที่ตลาดหลักทรัพย์ได้ขึ้นเครื่องหมาย CF เป็นเครื่องหมายที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ใช้ส่งสัญญาณเตือนให้นักลงทุนทราบว่า บริษัทมี Free Float หรือผู้ถือหุ้นรายย่อยน้อยกว่าเกณฑ์ที่กำหนด ซึ่งอาจกระทบต่อสภาพคล่องในการซื้อขายหุ้นตัวนั้น
อันดับ 1 ที่ราคาหุ้นบวกแรงสุด คือ KTB ที่ราคาหุ้นบวกแรงกว่า 14% ตามด้วย TTB, SCB, BBL, KBANK, KKP และ TISCO ตามลำหรับ ทำให้มูลค่ามาร์เก็ตแคปทั้ง 7 บริษัท เพิ่มขึ้นรวมกันกว่า 1.2 แสนล้านบาท
สำหรับบทวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน KTB ความเห็นนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) คงคำแนะนำ “ซื้อ” KTB แต่ปรับราคาเป้าหมายขึ้นมาอยู่ที่ 27.50 บาท จากเดิมที่ 24.50 บาท จากการปรับ PBV เพิ่มขึ้น
โดย KTB ประกาศจ่ายเงินปันผลประจำปี 2567 ที่ 1.545 บาทต่อหุ้น ซึ่งมากกว่าที่ตลาดคาดไว้เพียง 1.051 บาทต่อหุ้น และมากกว่าที่ฝ่ายวิจัยคาดไว้ที่ 1.255 บาทต่อหุ้น โดยเป็นการจ่ายปีละครั้ง จะ XD วันที่ 16 เม.ย. 25 ซึ่งคิดเป็น Dividend payout ที่ 49% (มากกว่าปี 2566 ที่ 33%) และคิดเป็น Dividend yield ที่สูงถึง 6.4% ซึ่งเป็นระดับ Dividend yield ที่เป็น Top tier ของกลุ่มธนาคารที่เฉลี่ยราว 6%
ทั้งนี้ Dividend payout ที่สูงขึ้นมาก ช่วยหนุนให้ ROE มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ที่ 10.30% จากเดิมที่ 10.00% ซึ่งส่งให้ PBV เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 0.82 เท่า จากเดิมที่ 0.74 เท่า และทำให้ราคาเป้าหมายมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ราว 3.00 บาท
ขณะที่ยังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2568 โดยกำไรสุทธิปี 2568 คาดจะอยู่ที่ 4.6 หมื่นล้านบาท เติบโตได้อีก +6% จากปีก่อน ขณะที่แนวโน้มกำไรสุทธิไตรมาส 1/68 จะเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และจากไตรมาสก่อน จากสำรองฯที่จะลดลงได้อย่างต่อเนื่อง ส่วนภาพรวมของ NPL มีแนวโน้มที่ดีกว่ากลุ่มเพราะเน้นการปล่อยสินเชื่อให้ภาครัฐเป็นหลัก
ส่วนราคาหุ้นเพิ่มขึ้น 14% และ 30% เมื่อเทียบกับ SET ในช่วง 1 เดือน และ 3 เดือนที่ผ่านมา เพราะแนวโน้มกำไรที่ยังเติบโตได้ดีและเก็งปันผลที่จะสูงกว่าคาด ประกอบกับมี Asset Quality ที่แข็งแกร่งจากการเน้นปล่อยสินเชื่อภาครัฐ ซึ่งเป็นสินเชื่อที่มีความเสี่ยงต่ำและรองรับกับสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงได้
นอกจากนี้ยังมี Coverage ratio ที่ยังอยู่ในระดับสูงถึง 188% ขณะที่ valuation ปัจจุบันซื้อขายที่ระดับต่ำเพียง PBV ที่ 0.71 เท่า ด้านราคาหุ้นยังไม่สะท้อนกำไรรายไตรมาสที่ยืนเหนือระดับ 1 หมื่นล้านบาท อย่างต่อเนื่องมา 5 ไตรมาสติดกัน โดยยังคงเลือก KTB เป็น Top pick ของกลุ่ม