Mr.Data
แนวคิดที่ พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง บอกอยู่ระหว่างการศึกษาการโยกเงินกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ที่ครบอายุในปี 2568 ราว 2 แสนล้านบาท เข้ากองทุน ThaiESG กองใหม่ เพื่อลดแรงขาย
โดยตั้งแต่ต้นปีแรงขาย LTF น่าจะมีออกมาราว 2 หมื่นล้านบาท หรือราวๆ 10%นั่นหมายความว่ายังเหลืออีกกว่า 1.8 แสนล้านบาท ที่พร้อมขายออก
...คงต้องย้อนกลับมาถามว่า ทำไมนักลงทุนถึงยอม Cut Loss เพราะนักลงทุนขาดศรัทธาและความเชื่อมั่นลงทุนตลาดหุ้นไทย ที่ผลตอบแทนติดลบต่อเนื่อง 2 ปีติดต่อกันและมีแนวโน้มปีนี้ อาจติดลบต่อเนื่องเป็นปีที่ 3
โดยตั้งแต่ต้นปี-20 ก.พ.68 ผลตอบแทนการลงทุนตลาดหุ้นไทยติดลบกว่า 11.04% นักลงทุนสถาบันในประเทศขายสุทธิ 8,218.96 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 7,080.50 ล้านบาท นักลงทุนในประเทศ "เดอะแบก" ตัวจริง ซื้อสุทธิ 15,181.24 ล้านบาท
ประเด็นสำคัญที่ทำให้ลงทุนกองทุน LTF คือ "แต้มต่อ" สิทธิพิเศษลดหย่อนภาษี แต่ผลตอบแทนลงทุนในช่วงที่ผ่านมา ติดลบ เริ่มมีคำถามว่า "แต้มต่อภาษี" แลกการลงทุนระยะยาว แต่ผลตอบแทน "ติดลบ" มันคุ้มจริงหรือ
...นักลงทุนที่ยังไม่ขายกองทุน LTF ที่ครบกำหนด เพราะยิ่งขายยิ่งขาดทุน ส่วนหนึ่งรอโยกเงินเข้าสู่กองทุน ThaiESG 2 ซึ่งจะตั้งเป็นกองใหม่ เพื่อให้นักลงทุนสามารถลงทุนหุ้นระยะยาวได้ต่อเนื่อง คาดว่าจะมีความชัดเจนในเดือนมี.ค.68
นาทีนี้จะทำอะไรก็ให้ไวว่อง!
นักลงทุนขาดความเชื่อมั่น และความศรัทธาในตลาดหุ้นไทยไปแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องธรรมาภิบาลผู้บริหารบจ. ที่มีการไซฟ่อนเงินออกจากบริษัท ผลประกอบการบจ.ที่ไม่สู้ดีมากนัก ผลพวงเศรษฐกิจชะลอตัว การเมืองไร้เสถียรภาพ ผ่านมาไม่รู้กี่ 10 ปี จ้องแต่แก้ไขรัฐธรรมนูญ เป็นวาระแห่งชาติขาดการวางโครงสร้างเศรษฐกิจ เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน ยิ่งไทยอยู่ในสังคมสูงวัยแล้วความน่าสนใจลงทุนอยู่ที่ไหน
ที่ว่าหุ้นไทยถูกแล้ว...น่าจะถูกได้อีก เพราะยังหา New S-Curve ไม่เจอ จริงๆ
ยิ่งเห็นผลสำรวจฟันด์เมเนเจอร์ของแบงก์ออฟอเมริกา พบว่า บรรดาผู้จัดการกองทุนต่างชาติ ส่วนใหญ่ต่างมีมุมมองลดน้ำหนักลงทุนหุ้นไทย และจัดอันดับต่ำสุดในเอเชีย
คงถึงเวลาแล้วที่กระทรวงการคลัง ตลาดหลักทรัพย์ฯ และก.ล.ต. ต้องออกมาตรการอย่างเร่งด่วน เพื่อเรียกความเชื่อมั่นนักลงทุนไทย และต่างชาติกลับคืน ก่อนสายเกินแก้