รายงานพิเศษ : LEO เดินหน้าแผน “LEO Go Green” ต่อยอด “Non-freight และ Non-Logistics” หวังสร้างรายได้เพิ่ม ดันผลงานปี 68 โต
บริษัท ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) (LEO) โชว์ศักยภาพผู้นำโลจิสติกส์ เทรนด์ธุรกิจที่มาแรงในปี 2568 ชูยุทธศาสตร์ “LEO Go Green” เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมกับต่อยอดธุรกิจ Non-freight และ Non-Logistics ผลักดันผลงานเติบโตตามเป้าหมาย 20-25% สร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่นักลงทุนในระยะยาว
โดยรายงานจากมหาวิทยาลัยศรีปทุม เปิดเผยถึง 2 เทรนด์สำคัญที่มีอิทธิพลต่อวงการอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ไทย ในปี 2568 คือ 1. Digital Supply Chain การนำเทคโนโลยีดิจิทัลและ AI มาใช้เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมนี้ให้มีมูลค่าสูงขึ้น และ 2.Sustainable Technology ที่พลิกโฉมโลจิสติกส์ไทยสู่ความยั่งยืน สอดคล้องกับแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของประเทศไทยปี 2566-2570 ที่มุ่งเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
LEO ประกาศลุยขยายธุรกิจทุกมิติ
บริษัท ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) (LEO) หนึ่งในผู้ให้บริการโลจิสติกส์แบบครบวงจรชั้นนำของไทยที่สามารถให้บริการได้ครอบคลุมทั่วโลก แบ่งกลุ่มธุรกิจหลักๆ ออกเป็น 1.SEA Freight 2.AIR Freight 3.Integrated Logistics Services 4.Self storage & Container Depot และยังคงมองหาโอกาสของธุรกิจใหม่ๆ เน้นการลงทุนในธุรกิจที่เป็น Non Freight มาช่วยทดแทนรายได้ค่าระวางเรือที่เริ่มปรับตัวลดลงตามแนวโน้มอุตสาหกรรมได้ในอนาคต พร้อมผลักดันยุทธศาสตร์ “LEO Go Green” ยกระดับผู้ให้บริการโลจิสติกส์ครบวงจรอย่างยั่งยืนที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในอุตสาหกรรมโลจิสติกส์อย่างแท้จริง
"เกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เปิดเผยว่า ปีนี้ LEO เชื่อมั่นว่ารายได้และกำไรขั้นต้นของบริษัทฯ จะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นมาจากการขนส่งสินค้าทางรถไฟระหว่างประเทศไทยกับจีน รวมทั้งธุรกิจของ Non - Logistics Business จะมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด พร้อมลุยขยายธุรกิจในทุกมิติแบบครบวงจร
ชูยุทธศาสตร์ “LEO Go Green” โลจิสติกส์อย่างยั่งยืน
ในปี 2568 LEO เดินหน้าตามแผนยุทธศาสตร์ “LEO Go Green” ยกระดับผู้ให้บริการโลจิสติกส์ครบวงจรอย่างยั่งยืน พร้อมต่อยอดธุรกิจ Non-freight และ Non-Logistics สร้างรายได้เพิ่มจากการบริการจัดการด้าน Warehouse / Distribution Center ผลักดันผลงานปี 2568 เติบโตตามเป้าหมาย 20-25%
ยุทธศาสตร์ “LEO Go Green” ประกอบด้วยเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนทั้งหมด 5 มิติ ได้แก่
- G. Growth in all aspects : สร้างยอดขายให้เติบโตจากธุรกิจหลักของ LEO ครอบคลุมถึงการสร้างยอดขายในธุรกิจใหม่และธุรกิจร่วมทุน การดำเนินธุรกิจตามแผนยุทธศาสตร์ในการเพิ่มรายได้จากธุรกิจ Non-Freight และ Non-Logistics
- R. Robust Performance: ผลการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ ตั้งเป้าหมายในการทำกำไรสุทธิจากยอดขายให้ได้มากกว่า 8% จากเดิมที่เคยอยู่ในระดับ 5-6%
- E. ESG Focused : การดำเนินธุรกิจตามหลัก ESG เพื่อส่งเสริมการเติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน
- E. Empowerment และ N. New Generation & New Technology : การส่งเสริมศักยภาพของบุคลากรรุ่นใหม่ผ่านการยกระดับประสิทธิภาพการดำเนินงาน ผ่านการศึกษาและพัฒนานวัตกรรมรูปแบบใหม่ อาทิ ใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ หรือโปรแกรมใหม่ๆ เพื่อให้บริการลูกค้าของบริษัทฯ
ตั้งเป้ารายได้ปีนี้เติบโต 20-25%
การตามแผนยุทธศาสตร์ “LEO Go Green” คาดว่าจะทำให้บริษัทฯ สามารถสร้างการเติบโตกำไรขั้นต้นและผลประกอบการให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งและต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าหมายรายได้ปีนี้เติบโต 20-25% โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการรับรู้รายได้จากหน่วยธุรกิจใหม่ๆ (New Business Units) เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่น โครงการ Self-Storage และ Wine Storage สาขา ถนนพระราม 4 รวมถึงโครงการอื่นๆ ที่ได้มีการจัดตั้งในช่วงที่ผ่านมา ได้แก่ การขนส่งทางรางไปยังประเทศจีน-ลาว ของบริษัท LaneXang Express การขนส่งสินค้าทางรางภายในประเทศของบริษัท Sritrang LEO Multimodal Logistics
การให้บริการศูนย์โลจิสติกส์และกระจายสินค้าของบริษัท Advantis LEO และการส่งออกสินค้าทุเรียนไปยังประเทศจีนจากบริษัท LEO Sourcing & Supply Chain ซึ่งบริษัทดังกล่าวเหล่านี้จะทำให้เกิดรายได้เพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และเป็นไปตามแผนยุทธศาสตร์ของบริษัทฯ ในการเพิ่มรายได้จากธุรกิจ Non-Freight และ Non-Logistics ให้เติบโตอย่างต่อเนื่องและมีสัดส่วนของรายได้มาเป็น 30-35% จากยอดรวมของบริษัทฯ ใน 1-2 ปีข้างหน้า รวมถึงโครงการ JV และ M&A อีกหลายโครงการที่อยู่ในแผนธุรกิจในปี2568
เร่งให้บริการ "Green Logistics"
ในฐานะที่ LEO เป็น End-to-End Logistics Services Provider มีแผนร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจที่จะให้บริการในลักษณะของ Green Logistics พัฒนาให้บริการขนส่งและการกระจายสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมโดยใช้รถพลังงานไฟฟ้า ลดการใช้พลังงานที่ก่อให้เกิดมลพิษหรือก่อให้เกิดขยะ มุ่งเน้นการลดมลพิษทางอากาศจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
รวมถึงพัฒนาระบบการให้บริการให้อยู่ในระบบดิจิทัล เพื่อลดการสิ้นเปลืองในการใช้กระดาษ โดยมีเป้าหมายที่จะทำให้สามารถลดภาวะโลกร้อนและเปลี่ยนให้เป็น Carbon Credit ให้กับลูกค้าของเรา และทำให้ลูกค้าของเราได้รับการยอมรับในการดำเนินธุรกิจในระดับนานาชาติ โดยเฉพาะในทวีปยุโรปที่ให้ความสำคัญกับเรื่อง ESG และการลด Carbon Footprint เป็นอย่างมาก
“บริษัทฯ มุ่งมั่นให้ความสำคัญกับกิจกรรมและบริการโลจิสติกส์ที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน เพื่อตอบสนองต่อวิสัยทัศน์ด้านสิ่งแวดล้อมของ LEO จึงได้ประกาศแผนกลยุทธ์ที่พร้อมส่งมอบบริการโลจิสติกส์ภายใต้คอนเซ็ปต์ “LEO Go Green” สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของเราในฐานะผู้นำด้านการดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในอุตสาหกรรมโลจิสติกส์อย่างแท้จริง”
พัฒนาระบบขนส่งรถไฟจีน-ไทย ให้เป็น Round trip
อีกหนึ่งในแผนการสำคัญของ LEO ในปี 2568 คือการพัฒนาระบบขนส่งรถไฟจีน-ไทย ด้วยตู้ Reefer Containers ให้เป็นระบบแบบขนส่ง Round trip มีสินค้าขาไปและขากลับ ระหว่างประเทศจีน-ไทย โดย LEO จะเป็นผู้จัดหาสินค้าส่งออกจากประเทศไทยมายังจีน และทางฝ่ายจีนก็จะช่วยหาสินค้าส่งออกจากประเทศจีนกลับมายังประเทศไทย โดย LEO มีความเชี่ยวชาญในการให้บริการ End-to-End Global Logistics Service Provider และเครือข่ายของ LaneXang Express ในประเทศจีนและไทยจะสามารถช่วยยกระดับการให้บริการเข้าสู่มาตรฐานสากล ผลักดันให้การขนส่งสินค้าทางรถไฟระหว่างจีน-ไทย ให้ประสบความสำเร็จ และสามารถลดต้นทุนค่าขนส่งให้กับผู้ส่งออกและนำเข้าทั้งในประเทศไทยและจีน
ผู้บริหารมั่นใจพื้นฐานแกร่ง
จากรายงานของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2568 ระบุว่า บริษัท ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) (LEO) แจ้งการซื้อขายหุ้นของ LEO ตามที่ได้ปรากฏในรายการซื้อขายหุ้น LEO ผ่านระบบการซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์บนกระดานรายใหญ่ (Big Lot Board) จำนวนรวม 8,469,700 หุ้น หรือคิดเป็น 2.65% ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของ LEO โดยรายการดังกล่าวเกิดจากการขายหุ้นซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ LEO (ที่ไม่ได้เป็นคณะกรรมการ) ให้กับกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมที่เป็นผู้เริ่มก่อตั้งบริษัทและปัจจุบันเป็นคณะกรรมการและผู้บริหารของบริษัท และกลุ่มคณะกรรมการของบริษัทท่านอื่นๆ ตอกย้ำความเชื่อมั่นในศักยภาพธุรกิจ พร้อมสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน และผู้ถือหุ้น สะท้อนถึงความตั้งใจจริงในการบริหารงาน เดินหน้าผลักดันการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน
“ในฐานะผู้ก่อตั้งบริษัทฯ และผู้ถือหุ้นใหญ่ของ LEO ผมยืนยันว่ายังมีความเชื่อมั่นในศักยภาพและความมั่นคงของบริษัทฯ และที่ผ่านมาการดำเนินธุรกิจของ LEO ได้รับการยอมรับในฐานะผู้ให้บริการขนส่งโลจิสติกส์ครบวงจรชั้นนำของเมืองไทย มีการเติบโตที่แข็งแกร่ง การขยายธุรกิจร่วมกับพันธมิตรชั้นนำช่วยเสริมสร้างรากฐานที่มั่นคง และแสดงถึงความพร้อมของบริษัทฯ ในการสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่นักลงทุนในระยะยาว” นายเกตติวิทย์ กล่าว