Talk of The Town
PREB ยิ้ม! ทริสคงเครดิตองค์กรระดับ “BBB” แนวโน้ม “Stable” ตอกย้ำผลงานโตสม่ำเสมอ–สภาพคล่องดี
10 มีนาคม 2566
บมจ.พรีบิลท์ (PREB) ปลื้ม!ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กรที่ระดับ “BBB” ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงผลงานที่เป็นที่ยอมรับในงานก่อสร้างโครงการอาคารสูง ขณะที่ผลการดำเนินงานเติบโตสม่ำเสมอรักษารายได้อยู่ในช่วง 4.0-4.5 พันล้านบาทต่อปี มี EBITDA Margin อยู่ที่ประมาณ 8%-13% ตลอดช่วงระยะ 5 ปีที่ผ่านมา สภาพคล่องอยู่ในระดับที่ดีเพียงพอต่อการลงทุนในอนาคต ประเมินรุกขยายไปพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย จะช่วยผลักดันการเติบโตทั้งรายได้และกำไรเพิ่มขึ้นในระยะยาว
นาย วิโรจน์ เจริญตรา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พรีบิลท์ จํากัด (มหาชน) หรือ PREB เปิดเผยว่า บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้คงอันดับเครดิตองค์กรที่ระดับ “BBB” ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงผลงานที่เป็นที่ยอมรับของบริษัทในงานก่อสร้างโครงการอาคารสูง ภาระหนี้ในระดับที่ยอมรับได้และมูลค่างานในมือในระดับปานกลาง
ทั้งนี้ ผลงานเป็นที่ยอมรับและมีผลการดำเนินงานที่สม่ำเสมอ โดยสถานะทางธุรกิจของบริษัทสะท้อนถึงผลงานที่เข้มแข็งในงานก่อสร้างอาคารสูงในภาคธุรกิจหลาย ๆ กลุ่ม อาทิอาคารที่พักอาศัย อาคารพาณิชย์ โรงแรม และโรงงานอุตสาหกรรม โดยบริษัทมีลูกค้ารายใหญ่เป็นผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีชื่อเสียงซึ่งส่วนใหญ่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย แม้ว่าในช่วงที่ตลาดคอนโดมิเนียมชะลอตัว บริษัทยังสามารถรักษาระดับรายได้ให้อยู่ในระดับสูงที่ประมาณ 4.0-4.5 พันล้านบาทต่อปีเอาไว้ได้ นอกจากนี้ บริษัทยังได้รับงานก่อสร้างอย่างต่อเนื่องจากลูกค้าเก่าหลาย ๆ รายอีกด้วย
“รวมทั้งการที่บริษัทมีผลการดำเนินงานที่ค่อนข้างสม่ำเสมอในช่วงหลายปีที่ผ่านมาโดยบริษัทมีรายได้อยู่ในช่วง4.0-4.5 พันล้านบาทต่อปีและมีอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย(EBITDA Margin) อยู่ที่ระดับประมาณ 8%-13% ตลอดช่วงระยะ 5 ปีที่ผ่าน สำหรับการขยายสู่การพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยจะช่วยผลักดันการเติบโตของรายได้ บริษัทมีความพยายามที่จะขยายงานสู่ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อช่วยให้ทั้งรายได้และกำไรเพิ่มขึ้นในระยะยาว
บริษัทพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยโดยผ่านบริษัทย่อยที่บริษัทถือหุ้นเต็ม 100% คือ บริษัท พรีบิลท์ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด และยังพัฒนาโครงการผ่านกิจการร่วมค้าที่ร่วมทุนกับบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายอื่น ๆ อีกด้วย อย่างไรก็ตาม ส่วนแบ่งรายได้จากกิจการร่วมค้ายังคงมีน้อยมากปัจจุบันบริษัทมีโครงการบ้านเดี่ยวที่อยู่ระหว่างการพัฒนาจำนวน 3 โครงการภายใต้แบรนด์
“พรรณนา” และ “พิมนารา” คิดเป็นมูลค่าโครงการรวม 2.6 พันล้านบาท บริษัทยังมีโครงการทาวน์เฮ้าส์ภายใต้แบรนด์“พรี วิลเลจ” อีก 1 โครงการ ซึ่งมีมูลค่า 0.7 พันล้านบาทอีกด้วย
ในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 นั้นบริษัทมีแผนจะเปิดตัวโครงการบ้านเดี่ยวใหม่อีก 2 โครงการซึ่งมีมูลค่ารวมทั้งสิ้นประมาณ 1.3-1.4 พันล้านบาทนอกจากนี้ บริษัทยังมีที่ดินอีก 2 แปลงในบริเวณถนนสุขุมวิท 24 และถนนสุขุมวิท 26 มูลค่าประมาณ 1.1 พันล้านบาทที่จะใช้พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ทั้งสองโครงการต้องชะลอออกไปเนื่องจากในพื้นที่ดังกล่าวมีคอนโดมิเนียมเหลือขายเป็นจำนวนมากและความต้องการคอนโดมิเนียมก็ลดน้อยลง
ในอนาคตบริษัทวางแผนจะเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยแห่งใหม่ ๆ ที่มูลค่า 1.2-1.5 พันล้านบาทต่อปี ซึ่งทำให้ทริสเรทติ้งประมาณการว่ารายได้จากธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทจะค่อย ๆ เพิ่มจากระดับ 870 ล้านบาทในปี2565 ไปจนถึงระดับมากกว่า 1 พันล้านบาทในปี2567 ถึงแม้ว่าสัดส่วนรายได้จากธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มากขึ้นจะช่วยเพิ่มรายได้และอัตรากำไรให้แก่บริษัท แต่ภาระหนี้ของบริษัทก็มีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน ซึ่งทริสเรทติ้งคาดหวังว่าบริษัทจะรักษาสมดุลของผลตอบแทนและเงินลงทุนในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เพื่อให้ระดับของอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ไม่เปลี่ยนแปลงไปจากระดับปัจจุบันมากนัก
นอกจากนี้ มีสภาพคล่องทางการเงินที่เพียงพอ ทริสเรทติ้งประเมินว่าบริษัทจะมีสภาพคล่องทางการเงินที่เพียงพอในช่วง 12 เดือนข้างหน้า โดย ณ สิ้นเดือนกันยายน 2565 แหล่งเงินทุนของบริษัทประกอบด้วยเงินสดมูลค่า 701 ล้านบาทและเงินทุนจากการดำเนินงานในช่วง 12 เดือนข้างหน้าคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 350-400 ล้านบาท
ขณะที่บริษัทมีแผนใช้เงินในช่วง 12 เดือนข้างหน้าเพื่อชำระคืนเงินกู้ยืมจำนวน 87 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายเงินลงทุนจำนวน 80-100 ล้านบาท เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนจำนวน 300-400 ล้านบาท และใช้ในการจ่ายเงินปันผลอีกจำนวนประมาณ 120 ล้านบาท ซึ่งโดยรวมแล้วบริษัทมีแหล่งเงินทุนที่น่าจะเพียงพอรองรับแผนการใช้เงินในช่วง 12 เดือนข้างหน้าได้
นาย วิโรจน์ เจริญตรา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พรีบิลท์ จํากัด (มหาชน) หรือ PREB เปิดเผยว่า บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้คงอันดับเครดิตองค์กรที่ระดับ “BBB” ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงผลงานที่เป็นที่ยอมรับของบริษัทในงานก่อสร้างโครงการอาคารสูง ภาระหนี้ในระดับที่ยอมรับได้และมูลค่างานในมือในระดับปานกลาง
ทั้งนี้ ผลงานเป็นที่ยอมรับและมีผลการดำเนินงานที่สม่ำเสมอ โดยสถานะทางธุรกิจของบริษัทสะท้อนถึงผลงานที่เข้มแข็งในงานก่อสร้างอาคารสูงในภาคธุรกิจหลาย ๆ กลุ่ม อาทิอาคารที่พักอาศัย อาคารพาณิชย์ โรงแรม และโรงงานอุตสาหกรรม โดยบริษัทมีลูกค้ารายใหญ่เป็นผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีชื่อเสียงซึ่งส่วนใหญ่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย แม้ว่าในช่วงที่ตลาดคอนโดมิเนียมชะลอตัว บริษัทยังสามารถรักษาระดับรายได้ให้อยู่ในระดับสูงที่ประมาณ 4.0-4.5 พันล้านบาทต่อปีเอาไว้ได้ นอกจากนี้ บริษัทยังได้รับงานก่อสร้างอย่างต่อเนื่องจากลูกค้าเก่าหลาย ๆ รายอีกด้วย
“รวมทั้งการที่บริษัทมีผลการดำเนินงานที่ค่อนข้างสม่ำเสมอในช่วงหลายปีที่ผ่านมาโดยบริษัทมีรายได้อยู่ในช่วง4.0-4.5 พันล้านบาทต่อปีและมีอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย(EBITDA Margin) อยู่ที่ระดับประมาณ 8%-13% ตลอดช่วงระยะ 5 ปีที่ผ่าน สำหรับการขยายสู่การพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยจะช่วยผลักดันการเติบโตของรายได้ บริษัทมีความพยายามที่จะขยายงานสู่ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อช่วยให้ทั้งรายได้และกำไรเพิ่มขึ้นในระยะยาว
บริษัทพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยโดยผ่านบริษัทย่อยที่บริษัทถือหุ้นเต็ม 100% คือ บริษัท พรีบิลท์ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด และยังพัฒนาโครงการผ่านกิจการร่วมค้าที่ร่วมทุนกับบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายอื่น ๆ อีกด้วย อย่างไรก็ตาม ส่วนแบ่งรายได้จากกิจการร่วมค้ายังคงมีน้อยมากปัจจุบันบริษัทมีโครงการบ้านเดี่ยวที่อยู่ระหว่างการพัฒนาจำนวน 3 โครงการภายใต้แบรนด์
“พรรณนา” และ “พิมนารา” คิดเป็นมูลค่าโครงการรวม 2.6 พันล้านบาท บริษัทยังมีโครงการทาวน์เฮ้าส์ภายใต้แบรนด์“พรี วิลเลจ” อีก 1 โครงการ ซึ่งมีมูลค่า 0.7 พันล้านบาทอีกด้วย
ในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 นั้นบริษัทมีแผนจะเปิดตัวโครงการบ้านเดี่ยวใหม่อีก 2 โครงการซึ่งมีมูลค่ารวมทั้งสิ้นประมาณ 1.3-1.4 พันล้านบาทนอกจากนี้ บริษัทยังมีที่ดินอีก 2 แปลงในบริเวณถนนสุขุมวิท 24 และถนนสุขุมวิท 26 มูลค่าประมาณ 1.1 พันล้านบาทที่จะใช้พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ทั้งสองโครงการต้องชะลอออกไปเนื่องจากในพื้นที่ดังกล่าวมีคอนโดมิเนียมเหลือขายเป็นจำนวนมากและความต้องการคอนโดมิเนียมก็ลดน้อยลง
ในอนาคตบริษัทวางแผนจะเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยแห่งใหม่ ๆ ที่มูลค่า 1.2-1.5 พันล้านบาทต่อปี ซึ่งทำให้ทริสเรทติ้งประมาณการว่ารายได้จากธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทจะค่อย ๆ เพิ่มจากระดับ 870 ล้านบาทในปี2565 ไปจนถึงระดับมากกว่า 1 พันล้านบาทในปี2567 ถึงแม้ว่าสัดส่วนรายได้จากธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มากขึ้นจะช่วยเพิ่มรายได้และอัตรากำไรให้แก่บริษัท แต่ภาระหนี้ของบริษัทก็มีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน ซึ่งทริสเรทติ้งคาดหวังว่าบริษัทจะรักษาสมดุลของผลตอบแทนและเงินลงทุนในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เพื่อให้ระดับของอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ไม่เปลี่ยนแปลงไปจากระดับปัจจุบันมากนัก
นอกจากนี้ มีสภาพคล่องทางการเงินที่เพียงพอ ทริสเรทติ้งประเมินว่าบริษัทจะมีสภาพคล่องทางการเงินที่เพียงพอในช่วง 12 เดือนข้างหน้า โดย ณ สิ้นเดือนกันยายน 2565 แหล่งเงินทุนของบริษัทประกอบด้วยเงินสดมูลค่า 701 ล้านบาทและเงินทุนจากการดำเนินงานในช่วง 12 เดือนข้างหน้าคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 350-400 ล้านบาท
ขณะที่บริษัทมีแผนใช้เงินในช่วง 12 เดือนข้างหน้าเพื่อชำระคืนเงินกู้ยืมจำนวน 87 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายเงินลงทุนจำนวน 80-100 ล้านบาท เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนจำนวน 300-400 ล้านบาท และใช้ในการจ่ายเงินปันผลอีกจำนวนประมาณ 120 ล้านบาท ซึ่งโดยรวมแล้วบริษัทมีแหล่งเงินทุนที่น่าจะเพียงพอรองรับแผนการใช้เงินในช่วง 12 เดือนข้างหน้าได้