รายงานพิเศษ : เมื่อ SFLEX มูลค่าหุ้นถูก ผลการดำเนินงานแข็งแกร่ง ทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง
ในช่วงที่ภาวะตลาดหุ้นมีความผันผวนทิศทางปรับลดลง การลงทุนในหุ้นที่มีผลงานดี จ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอเป็นสิ่งที่นักลงทุนค้นหา ซึ่ง บมจ.สตาร์เฟล็กซ์ (SFLEX) เป็นหุ้นที่ได้รับการแนะนำให้เข้าลงทุนจากโบรกเกอร์มาอย่างต่อเนื่อง สะท้อนจากผลงานที่เติบโตทำสถิติสูงสุดเป็นปีที่สองติดต่อกัน
บล.เคจีไอ วิเคราะห์หุ้น บมจ.สตาร์เฟล็กซ์ (SFLEX) ผู้ผลิต และจำหน่ายบรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อนชั้นนำในประเทศ โดยระบุว่า กำไรไตรมาส 4/67 เพิ่มขึ้นอย่างมากจากปีก่อน และกำไรปี 2567 ทำสถิติสูงสุดใหม่อีกครั้ง
โดย SFLEX รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 4/67 จำนวน 76.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 73% จากปีก่อน เพิ่มขึ้น 1.6% จากไตรมาสก่อน อัตรากำไรขั้นต้นยังคงอยู่ ในระดับสูงที่ 23.9% แต่ลดลงเล็กน้อยจาก 25.3% ใน 4Q66 และ 26.1% ใน 3Q67 จุดเด่นสำคัญของไตรมาสนี้คือค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ ส่วนแบ่งกำไรจากโครงการร่วมทุนในเวียดนามกับ SCGP* อยู่ที่ 5.9 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อยจาก 9.8 ล้านบาทใน 3Q67 เนื่องจากปัจจัยฤดูกาล กำไรสุทธิทั้งปีอยู่ที่ 281 ล้านบาท (+52% YoY) สูงกว่าประมาณการของเราถึง 18% ทำสถิติสูงสุดเป็นปีที่สองติดต่อกัน
SFLEX สามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้นที่แข็งแกร่งที่ 24.7% ในปี 2567 เพิ่มขึ้นจาก 24.0% ในปี 2566 และดีกว่าที่เราคาดการณ์ไว้ที่ 23.8% ด้วยกลยุทธ์การบริหารต้นทุนเดียวกัน อัตรากำไรขั้นต้นของ SFLEX น่าจะสามารถอยู่ในระดับสูงที่ 24.7% ในปี 2568
อย่างไรก็ตาม เราประมาณการอย่างระมัดระวังว่า โครงการร่วมทุนกับ TU จะมีผลการดำเนินงานเพียงแค่คุ้มทุนในปี 2568 เนื่องจากการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์แบบเต็มรูปแบบล่าช้าออกไป ก่อนหน้านี้ เราคาดว่าโครงการร่วมทุนนี้จะสร้างส่วนแบ่งกำไร ประมาณ 2.3 ล้านบาทในปี 2568 (SFLEX ถือหุ้น 51%) โดยรวมแล้ว เราได้ปรับประมาณการกำไรสุทธิ สำหรับปี 2568 เพิ่มขึ้นเป็น 295 ล้านบาท จาก 257 ล้านบาท
องค์กร Circular Economy for Flexible Packaging (CEFLEX) มีเป้าหมายที่จะทำให้บรรจุภัณฑ์ Flexible packaging ในยุโรปสามารถรีไซเคิลได้ หรือ เป็นวัสดุชนิดเดียว (Mono-Material) 100% ภายในปี 2568 ปัจจุบัน SFLEX ผลิตบรรจุภัณฑ์ Flexible packaging ด้วย Mono-Material ราว 20%
โดยคาดว่าลูกค้าที่เป็นบริษัทข้ามชาติมีโอกาสจะเพิ่มคำสั่งซื้อ ซึ่งจะส่งผลดีต่ออัตรากำไรขั้นต้น เรายังคงประมาณการอย่างระมัดระวัง เนื่องจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์อาจทำให้กรอบเวลาด้านความยั่งยืนล่าช้าออกไป แม้จะมีการชะลอตัวในระยะสั้น แต่แนวโน้มบรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืนในระยะยาวยังคงแข็งแกร่ง โดยได้รับการสนับสนุนจากกฎระเบียบที่มีอยู่ความต้องการของผู้บริโภค และการลงทุนของบริษัท
เนื่องจากการเติบโตของกำไรที่ต่ำลงในปี 2568 จากฐานที่สูงและการประเมินมูลค่าที่ต่ำลงในการเปรียบเทียบกับหุ้นกลุ่มบรรจุภัณฑ์ เราได้ปรับสมมติฐานเป้าหมาย PE เป็น 12 เท่า (-1 S.D.) จาก 20 เท่า ส่งผลให้ราคาเป้าหมายใหม่อยู่ที่ 4.30 บาท (จาก 5.80 บาท) เนื่องจากราคาเป้าหมายใหม่ยังคงให้อัพไซด์ 50% จากราคาปัจจุบัน และคาดว่ากำไรปี 2568 จะทำสถิติสูงสุดเป็นปีที่สามติดต่อกัน เราจึงยังคงคำแนะนำ “ซื้อ”