ตลท.อัดมาตรการครั้งใหญ่ ฟื้นความเชื่อมั่น กระตุ้นเม็ดเงินไหลเข้าตลาด
เกาะติดนโยบายล่าสุดของตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ล่าสุดประธานตลท.ออกแถลงข่าว เกี่ยวกับมาตรการต่างๆ หวังฟื้นความเชื่อมั่นในกับนักลงทุน ซึ่งนักวิเคราะห์ต่างมองเป็นเสียงเดียวกันว่า “จะช่วยกระตุ้นเม็ดเงินใหม่ให้ไหลเข้าตลาดทุนไทย”
โดยโครงการที่นักลงทุนเฝ้าจับตา คือ TISA” หรือ Thailand Individual Saving Account ซึ่งตลาดหุ้นญี่ปุ่นเคยทำมาแล้ว และประสบความสำเร็จอย่างมาก ชื่อโครงการว่า NISA โดยในช่วงนั้นทำให้ตลาดหุ้นญี่ปุ่นมีฟอร์มดีกว่าตลาดหุ้นอื่นๆ ในช่วงเวลาเดียวกัน
ดังนั้นหากเข้าไปสำรวจความเห็นนักวิเคราะห์ พบว่า นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) มองประเด็น ตลท. อยู่ระหว่างพิจารณามาตรการฟื้นคืนความเชื่อมั่นตลาดทุน ส่วนที่น่าสนใจ มีดังนี้
1.เตรียมเปิดโครงการออมเพื่อซื้อหุ้นไทยเน้นลงทุนระยะยาว “TISA” หรือ Thailand Individual Saving Account เป็นโมเดลจาก NISA Nippon Individual Savings Account ซึ่งเป็นโมเดลของประเทศญี่ปุ่นที่ตลาดได้เข้าไปศึกษาดูงานมา เน้นเก็บออม และยกเว้นสิทธิทางภาษี
โดยอยู่ระหว่างการพิจารณารายละเอียดร่วมกับกระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ก.ล.ต. และ CMDF ซึ่งส่วนใหญ่เห็นด้วยกับโครงการดังกล่าว
ทั้งนี้ TISA เป็นมาตรการให้คนไทยซื้อหุ้นไทยได้โดยตรง ถือหุ้นตามระยะเวลาที่กำหนด สามารถนำมาหักลดหย่อนภาษีได้โดยไม่ต้องผ่านกองทุนหรือผู้จัดการกองทุนเหมือนกับกองทุน LTF, RMF และ THAIESG
หากได้รับการอนุมัติจากภาครัฐมาตรการนี้จะช่วยเพิ่มเม็ดเงินใหม่ (New Money) ให้กับตลาดเพิ่ม upside กับ SET Index ในอนาคต เนื่องจาก TISA ใช้หลักคิดเดียวกับ NISA (Nippon Individual Saving Account) ของญี่ปุ่นที่เริ่มดำเนินการเพื่อส่งเสริมการออมตั้งแต่ปี 2557
จากผลศึกษาเพิ่มว่ามูลค่าเงินลงทุนในบัญชี NISA เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจาก 6.4 ล้านล้านเยนในปี 2558 (1.1% และ 1.83% ของมูลค่าตลาด TOPIX และ NIKKEI) ปรับขึ้นเป็น 21.6 ล้านล้านเยนปี 2563 (3.21% และ 5.47%) และ 45.4 ล้านล้านเยน ในปี 2567 (4.64% และ 6.3%) ที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ อยู่ระหว่างศึกษาแนวทางเพื่อฟื้นความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนผ่านการออกพระราชกำหนดฟื้นฟูตลาดทุนไทย (Omnibus Law) เพื่อสนับสนุนแนวทางต่างๆ ดังนี้
2.จูงใจบริษัทจดทะเบียนที่มีมูลค่าต่ำกว่าราคาปกติ หรือ ราคาต่ำบุ๊ค เพื่อให้มีมูลค่าสูงขึ้น โดยการให้บริษัทจดทะเบียนเข้ามาสมัคร และมีการเขียนแผนในการเติบโตอย่างไร คาดว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างไร
ทั้งนี้ กระทรวงการคลังได้รับเรื่องไว้พิจารณา หากเกิดทำได้มีรายได้ที่เพิ่มขึ้นก็จะลดภาษีให้ Dividend ในส่วนนี้จะได้รับสิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษีได้เพิ่มเติม
3. การซื้อหุ้นคืน (Treasury Stock Buyback) ของบริษัทจดทะเบียน ที่จะทำให้เงื่อนไขการซื้อหุ้นคืนปลดล็อกจากเดิมที่มีข้อจำกัดกำหนดให้ซื้อหุ้นคืนได้ไม่เกิน 10% ของทุนจดทะเบียน ให้เร็วขึ้น ซึ่งจะมีการแก้ไขกฎหมายบริษัทมหาชน
และ 4. ปลดล็อกให้บริษัทต่างประเทศที่ลงทุนในไทยเข้าระดมทุนในไทยได้
ขณะที่ความเห็นนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) ประเด็น ตลาดหลักทรัพย์ได้เผยแนวทางสนับสนุนตลาดทุนด้วยแนวคิด TISA (Thailand individual saving) โดยให้ประชาชนทั่วไปสามารถเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นและนำเม็ดเงินเหล่านั้นมาลดหย่อนภาษี เตรียมที่จะเสนอต่อกระทรวงการคลังในเร็วๆนี้ (ข้อแม้คือจะต้องถือจนถึงวัยเกษียณ)
สำหรับ Model ข้างต้นนี้เคยเกิดขึ้นแล้วในตลาดหุ้นญี่ปุ่นภายใต้ชื่อว่า NISA กล่าวคือให้ประชาชน (นักลงทุนรายย่อย) เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นและนำเงินดังกล่าวไปลดหย่อนภาษี ข้อมูลที่พบคือมูลค่าลงทุนผ่าน NISA สูงขึ้นเรื่อย ๆ โดยปี 2558 อยู่ที่ 6.4 ล้านล้านเย็น ปี 2563 อยู่ที่ 21.6 ล้านล้านเยนและปี 2567 อยู่ที่ 45 ล้านล้านเยน
โดยผลกระทบต่อตลาดหุ้นญี่ปุ่นพบว่าโครงการ NISA เกิดขึ้นในปี 2557 และทำให้ในปีดังกล่าวตลาดหุ้น Nikkei บวก 17% เทียบกับ MSCI world ที่ให้ผลตอบแทนเพียง 4.3%
ส่วนความเห็นนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด มองประเด็นดังกล่าว โดยระบุว่า ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กำลังเสนอมาตรการกระตุ้นตลาดทุนต่อกระทรวงการคลัง 2 ประเด็น คือ
1.TISA หรือ Thai Individual Saving Account ที่ให้สิทธิการนาวงเงินการซื้อขายหุ้น และมีการกำหนดเงื่อนไขไว้ให้สามารถนำมาใช้ลดหย่อนภาษีทางตรงได้ตามเงื่อนไขที่กำหนด เพื่อใช้เป็นหนึ่งในมาตรการฟื้นความเชื่อมั่น
โดยปัจจุบันตลาดหลักทรัพย์ฯอยู่ระหว่างการจัดทำรายละเอียดของข้อมูล ซึ่งคาดว่าจะนำเสนอต่อกระทรวงการคลังให้พิจารณาภายในช่วง 1-2 เดือนนี้
2. Omnibus Law หรือพระราชกำหนดฟื้นฟูตลาดทุนไทย เพื่อให้สามารถแก้ไขกฎหมายในตลาดหุ้นไทยได้อย่างรวดเร็ว ช่วยปลดล็อกปัญหาหลายส่วน เช่น การซื้อหุ้นคืน, ส่งเสริม Tech Company ให้ IPO, บริษัทต่างชาติที่ลงทุนในไทย สามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดทุนไทยได้
ดังนั้นมีมุมมองเชิงบวกต่อ TISA เพราะจะช่วยกระตุ้นเม็ดเงินใหม่ให้ไหลเข้าตลาดทุนไทย โดยถ้าพิจารณาจากจำนวนบัญชีซื้อขายที่ Active ช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาราว 4 แสนบัญชี และมีจำนวนบัญชีที่ไม่นับซ้ำทั้งหมด 3.1 ล้านบัญชี
หากรัฐบาลให้วงเงินลงทุนตามโครงการ TISA ได้ปีละ 500,000 บาท ทุก 1 แสนบัญชีที่ลงทุนเต็มวงเงินจะมีเงินลงทุนใหม่เข้ามาในระบบราว 5 หมื่นล้านบาท ถือเป็นระดับที่มีนัยสำคัญต่อการประคองการเคลื่อนไหวของ SET INDEX หุ้นเด่นที่คาดว่าจะมีแรงซื้อมาก คือ หุ้นปันผล และ REIT เช่น SCB, TISCO, BAM, SPALI, BCPG, 3BBIF, CPNREIT, LHHOTEL เป็นต้น