ไซเบอร์จีนิคส์ ชี้ 2025 ปีแห่งความท้าทายด้าน Cybersecurity พร้อมแนะโซลูชัน Cloud Security ทางรอดภัยไซเบอร์
จากกระแสการเข้ามาลงทุนของผู้ให้บริการ Public Cloud รายใหญ่ในประเทศไทยอย่าง AWS, Microsoft Azure รวมถึง Google Cloud ที่สอดรับกับนโยบาย Cloud First ของภาครัฐในปัจจุบัน กำลังจะเข้ามาเปลี่ยนโฉมโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีของประเทศ โดยเฉพาะการเพิ่มขีดความสามารถในการประมวลผลข้อมูลและสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ แต่ในขณะเดียวกันก็มีความท้าทายด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่ทั้งภาครัฐและธุรกิจองค์กรต้องให้ความสำคัญในการพัฒนาควบคู่กันไป
นายอัตพล พยัคฆ์ รักษาการกรรมการผู้จัดการ บริษัท ไซเบอร์จีนิคส์ จำกัด (CyberGenics) ในเครือของบริษัท จีเอเบิล จำกัด (มหาชน) ผู้ให้บริการด้าน Cybersecurity แบบครบวงจร ได้เผยว่า “ข้อดีของการมีเทคโนโลยีโครงสร้างพื้นฐานระดับโลกอย่างศูนย์ข้อมูล (Data Center) เข้ามาตั้งอยู่ในประเทศไทย จะมีส่วนช่วยเพิ่มศักยภาพให้ธุรกิจองค์กรในประเทศไทยสามารถเข้าถึงบริการคลาวด์ที่มีประสิทธิภาพสูง สามารถต่อยอดสู่การสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม
ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายภาครัฐที่สนับสนุนเรื่อง Cloud First Policy โดยมุ่งไปที่การยกระดับข้อมูลของคนไทย ซึ่งจะช่วยให้การเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ทั้งภาคประชาชน ภาคธุรกิจ ภาครัฐ สะดวกและรวดเร็วกว่าการใช้บริการ Data Center ในประเทศอื่นๆ เพราะการจัดเก็บข้อมูลในระบบคลาวด์ นอกจากจะช่วยประมวลผลและนำข้อมูลออกมาใช้งานได้รวดเร็วขึ้นกว่าเดิม ยังช่วยลดความเสี่ยงให้กับองค์กรในกรณีที่ถูกโจรกรรมข้อมูลหรือโจมตีจากบุคคลภายนอก ถือเป็นส่วนสำคัญในการช่วยให้ทั้งภาครัฐและภาคธุรกิจองค์กรต่างๆ สามารถบริหารจัดการข้อมูลสำคัญได้ถูกต้องตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล หรือ PDPA แต่หากมองความท้าทายที่ภาครัฐและธุรกิจองค์กรจะต้องให้ความสำคัญไม่แพ้กันก็คือ เรื่องความปลอดภัยในการปกป้องข้อมูลที่ถูกจัดเก็บอยู่ในระบบคลาวด์ หลายคนอาจจะยังไม่รู้ถึงสาเหตุหลักว่า ความผิดพลาดในการตั้งค่าระบบคลาวด์ อาจทำให้เกิดการละเมิดมาตรการรักษาข้อมูล (Data Breach) มากถึง 80% ซึ่งสามารถสร้างความเสียหายทั้งต่อองค์กร ข้อมูลในองค์กร และลูกค้าขององค์กร เพราะข้อมูลส่วนบุคคลที่เก็บไว้อาจถูกทำลาย ถูกแก้ไข หรือถูกนำไปเปิดเผยได้โดยผู้ไม่หวังดี ดังนั้นภาครัฐและธุรกิจองค์กรต่างๆ ควรให้ความสำคัญกับการจัดการเสถียรภาพการรักษาความปลอดภัยในระบบคลาวด์ โดยมีกระบวนการตรวจสอบระบบอัตโนมัติและโครงสร้างพื้นฐานบนระบบ Cloud สำหรับความเสี่ยงและการกำหนดค่าที่ไม่ถูกต้องด้วย Cloud Security Posture Management (CSPM) ให้มากยิ่งขึ้น”
ประกอบกับหลายธุรกิจองค์กรยังมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับเรื่อง Cloud Security ในมุมของ Shared Responsibility Model ว่าผู้ให้บริการระบบคลาวด์ (Cloud Provider) จะต้องดูแลความปลอดภัยของข้อมูลองค์กรทั้งหมด แต่แท้จริงแล้วเป็นสิ่งที่องค์กรและผู้ให้บริการระบบคลาวด์ จะต้องรับผิดชอบร่วมกัน
ในมุมของผู้ให้บริการระบบคลาวด์ (Cloud Provider) จะรับผิดชอบในส่วนของโครงสร้างพื้นฐาน(Infrastructure) รวมถึงความปลอดภัยพื้นฐาน ส่วนผู้ใช้งานในธุรกิจองค์กรต่างๆ จะรับผิดชอบในการจัดระบบบริหารจัดการตัวตนและการเข้าถึงระบบและข้อมูล (Identity and Access Management) ต้องมีการยืนยันตัวตนเพื่อเข้าสู่ระบบบัญชีแบบหลายปัจจัย (Multi-Factor Authentication) และต้องมีการกำหนดสิทธิ์ของผู้ใช้งานในการเข้าถึงข้อมูลในระบบตามความจำเป็นเท่านั้น (Least Privilege Access)
ซึ่งในปัจจุบันมีโซลูชัน Cloud Security ที่เป็นตัวช่วยที่ดี สำหรับภาครัฐและธุรกิจองค์กร ในการปกป้องข้อมูลที่ถูกจัดเก็บอยู่ในระบบคลาวด์ที่มีความซับซ้อนให้ปลอดภัยอยู่หลายโซลูชัน ไม่ว่าจะเป็น
• API Security และ CNAPP เนื่องจากระบบคลาวด์และระบบ AI สมัยใหม่นั้นมีการพัฒาระบบโดยใช้ API เป็นหลัก แต่หลายธุรกิจองค์กรไม่ได้ให้ความสำคัญในการป้องกัน API ซึ่งอาจเป็นช่องโหว่
ในการถูกโจมตีและเกิดการรั่วไหลของข้อมูลได้ ในส่วนของ Cloud Workload Protection (CWP) องค์กรควรเลือกใช้งาน CNAPP (Cloud-Native Application Protection Platform) เพื่อป้องกัน
การโจมตี Workload ในระบบคลาวด์ จากผู้ไม่ประสงค์ดีหรือผู้โจมตีภายใน (Insider Threat)
• Zero Trust & Secure Access สำหรับคลาวด์ เมื่อแนวทางการป้องกันแบบเดิมไม่สามารถปกป้องระบบคลาวด์ที่ซับซ้อนในปัจจุบันได้อีกต่อไป องค์กรจึงต้องปรับใช้ Zero Trust Architecture (ZTA) บนหลักการที่ว่าไม่มีอุปกรณ์หรือบุคคลใดที่ควรได้รับความไว้วางใจโดยอัตโนมัติ (“Never Trust, Always Verify”) เพื่อป้องกันการเข้าถึงข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งเป็นแนวคิดที่มุ่งเน้นไปที่
การปกป้องข้อมูล ระบบงาน และบริการเป็นหลัก โดยที่มีการรับรองความถูกต้องอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งการนำ Zero Trust Network Access (ZTNA) และ Secure Access Service Edge (SASE) มาใช้งานจะช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการเข้าถึงระบบงานสำคัญได้ทั้งบน Cloud และ On-Premise
• AI-Driven Threats & Security Automation ในยุคที่แฮกเกอร์ (Threat Actor) เริ่มใช้ AI ในการโจมตีระบบคลาวด์โดยใช้ AI ในการสร้างฟิชชิ่ง (Phishing) เพื่อหลอกล่อเหยื่อที่สามารถเลียนแบบพฤติกรรมของบุคคลได้อย่างแนบเนียน และใช้ AI ในการสร้างมัลแวร์ (Malware) ที่ขับเคลื่อนด้วย AI สามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและหลบเลี่ยงการตรวจจับจากระบบรักษาความปลอดภัยได้ ฯลฯ
การเลือกใช้งานโซลูชัน AI-Driven Security อย่าง ศูนย์รักษาความปลอดภัย (Autonomous SOC) การตรวจหาและการตอบสนองแบบขยาย XDR (Extended Detection and Response) ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มเหตุการณ์ด้านความปลอดภัยแบบครบวงจรที่ใช้ AI และระบบอัตโนมัติ และแพลตฟอร์มการป้องกันแอปพลิเคชันบนคลาวด์ CNAPP (Cloud-Native Application Protection Platform) จะช่วยป้องกันภัยคุกคามที่ซับซ้อนเหล่านี้ได้”
“เพราะไม่ว่าความท้าทายของภัยคุกคามทางไซเบอร์จะเปลี่ยนแปลงไปเช่นไร แต่ภาครัฐและธุรกิจองค์กรยังคงต้องปรับตัวเพื่อป้องกันภัยไซเบอร์อยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะการปกป้องข้อมูลสำคัญขององค์กรได้อย่างรวดเร็วผ่านระบบ Cloud Security ที่แข็งแกร่งที่มีการผสานระบบการป้องกันภัยไซเบอร์ขั้นสูง ซึ่งไซเบอร์จีนิคส์ ผู้ให้บริการด้าน Cybersecurity แบบครบวงจร ยังคงเดินหน้าพัฒนาโซลูชันด้านการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้ใช้งานทั้งภาครัฐและธุรกิจองค์กรต่างๆ สามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูลในระบบคลาวด์ได้อย่างเต็มศักยภาพ และสร้างแต้มต่อที่เหนือคู่แข่งในยุคดิจิทัลได้อย่างยั่งยืน” นายอัตพล กล่าวทิ้งท้าย
ยอดนิยม
_%E0%B8%84%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B9%89%20S2T.jpg)
ค่าเงินบาทวันนี้ 13 มี.ค. 2568

กรุงศรี ออโต้ สานต่อความร่วมมือ ททท. เปิดตัวโครงการ "Start Your Journey to Grand Moment with Krungsri Auto"
.jpg)
“DITP” เปิดตัวโลโก้ใหม่ เสริมภาพลักษณ์การค้าระหว่างประเทศของไทย ภายใต้แนวคิด “3E CREATE POSSIBILITIES” ส่งเสริมผู้ประกอบการไทยสู่เวทีโลก

ราคาทองคำวันนี้ 13 มี.ค. 68 เปิดตลาดปรับขึ้นอีก 200 บาท รูปพรรณขายออก 47,700 บาท
