จับประเด็นหุ้นเด่น

รายงานพิเศษ : DPAINT ปรับกลยุทธ์ รับมือตลาดอสังหาฯ ชะลอตัว ทำ CRM กระตุ้นยอดขาย-เพิ่มประสิทธิภาพเครื่องจักร


14 มีนาคม 2568
สถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์เริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัวที่ดีขึ้น จากดัชนีความเชื่อมั่นความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในกรุงเทพ-ปริมณฑล ไตรมาส4 ที่ปรับเพิ่มขึ้น2.4 จุด  หนุนธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องโดยเฉพาะตลาดสีทาบ้าน  ซึ่งผู้บริหารDPAINT ได้ปรับกลยุทธ์ทั้งด้านยอดขายและลดใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น มั่นใจผลงานปี68ปรับตัวดีขึ้น 

DPAINT_รายงานพิเศษ S2T (เว็บ) copy_0.jpg

ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) รายงาน "ดัชนีความเชื่อมั่นความต้องการ ซื้อที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ไตรมาส 4/67" พบว่า ประชาชนเริ่มมีความเชื่อมั่นในการซื้อที่อยู่อาศัยเพิ่มมากขึ้นจากไตรมาสก่อน โดยมีค่าดัชนีเท่ากับ 42.9 เพิ่มขึ้น 2.4 จุดจากไตรมาสก่อนหน้าที่มีค่าดัชนี 40.5 (QoQ) รวมถึงสัดส่วนของผู้ที่วางแผนจะซื้อที่อยู่อาศัยภายใน 6 เดือนข้างหน้าเพิ่มขึ้นเป็น 28.2% จาก 24.7% ในไตรมาสก่อนหน้า
          
ส่วนหนึ่งมีสาเหตุมาจากการปรับลดของอัตราดอกเบี้ย และสถาบันการเงินมีการจัดทำผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่อยู่อาศัยอัตราดอกเบี้ยต่ำ สามารถกระตุ้นกำลังซื้อในไตรมาส 4/67 โดยข้อมูลส่วนใหญ่พบว่า ประชาชนมีการซื้อที่อยู่อาศัย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่ออยู่อาศัยเอง (32.1%) มากกว่าซื้อเพื่อการลงทุน (15.8%) และส่วนใหญ่มีอาชีพเป็นพนักงานบริษัทเอกชน (55.1%) มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน อยู่ในช่วง 15,001-30,000 บาท (34.4%) และต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในระดับราคา 2.01-3.00 ล้านบาท มากที่สุด (25.3%)
          
ขณะที่ประเภทที่อยู่อาศัยที่มีความต้องการมากที่สุดยังคงเป็นประเภทบ้านเดี่ยว (40.6%) ในระดับราคา 3.01-5.00 ล้านบาท และต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในพื้นที่กรุงเทพฯ มากที่สุด (56.1%) โดยเฉพาะในย่านเศรษฐกิจ ส่วนปริมณฑลมีความต้องการซื้อในจังหวัดนนทบุรี, ปทุมธานี, สมุทรปราการ, นครปฐม และสมุทรสาคร ตามลำดับ โดยมีรายละเอียด ดังนี้
         
ส่วนวัตถุประสงค์ในการซื้อที่อยู่อาศัย ในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ไตรมาส 4/67 พบว่า ประชาชนชะลอ การตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยเพื่อการลงทุน แต่เป็นการซื้อเพื่ออยู่อาศัยเองมากขึ้น โดยผลจากการสำรวจพบว่า ผู้ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยส่วนใหญ่ (32.1%) ต้องการมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง อันดับสอง คือ ต้องการซื้อลงทุนเพื่อเก็งกำไร/ให้เช่า (15.8%) และอันดับสาม ซื้อเพื่อเป็นทรัพย์สิน (14.6%) โดยวัตถุประสงค์ทั้งสามอันดับแรกมีสัดส่วนลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า
          
โดยปัจจัยหลักของความต้องการมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง เนื่องจากต้องการแยกครอบครัวหรือแต่งงาน มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นจาก 8.9% เป็น 10.3% ขณะที่บางกลุ่มต้องการความสะดวกในการเดินทาง มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นจาก 8.9 % เป็น 9.0% ต้องการสภาพแวดล้อมที่ดีขึ้น มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นจาก 8.1% เป็น 8.5% และต้องการนวัตกรรมบ้านอัจฉริยะ มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นจาก 3.1% เป็น 3.6% ซึ่งมีแนวโน้มที่ค่อยๆขยายตัวเพิ่มขึ้น
          
ความต้องการซื้อที่อยู่อาศัย พบว่า ส่วนใหญ่มีความต้องการซื้อบ้านเดี่ยว ในระดับราคา 3.01-5.00 ล้านบาท มากที่สุด รองลงมา คือ คอนโดมิเนียม ในระดับราคา 2.01-3.00 ล้านบาท มากที่สุด สำหรับทาวน์เฮ้าส์มีความต้องการซื้อในระดับราคา 2.01-3.00 ล้านบาท มากที่สุด ส่วนบ้านแฝดมีความต้องการซื้อ ในระดับราคา 3.0-5.00 ล้านบาท มากที่สุด และอาคารพาณิชย์มีความต้องการซื้อ 0.2% ต้องการซื้อเพียงระดับราคาเดียว คือ ระดับราคา 2.01-3.00 ล้านบาท
          
โดยภาพรวมช่วงราคาของที่อยู่อาศัยที่ต้องการซื้อ ส่วนใหญ่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในระดับราคา 2.01-3.00 ล้านบาท (25.3%) และระดับราคา 3.01-5.00 ล้านบาท (22.8%) ซึ่งทั้งสองช่วงระดับราคาดังกล่าวเป็นกลุ่มระดับราคาหลัก มีสัดส่วนรวมกันถึง 48.1% โดยไตรมาสนี้ผู้ตอบแบบสอบถามมีความต้องการ ซื้อที่อยู่อาศัยในระดับราคา 1.01-3.00 ล้านบาท และระดับราคา 5.01-7.00 ล้านบาทเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับ ไตรมาสก่อนหน้า (QoQ)

การฟื้นตัวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์  ส่งผลดีต่อตลาดสีทาบ้าน  ซึ่งนายอรรถพล  ตั้งคารวคุณ ประธานเจ้าหน้าที่สายการเงินและประธานเจ้าหน้าที่สายปฏิบัติการ บมจ.สีเดลต้า (DPAINT) ระบุว่า ปีนี้บริษัทได้มีการปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจเพื่อรองรับกับสถานการณ์ตลาดในปัจจุบัน โดยในด้านกลยุทธ์การเพิ่มยอดขาย บริษัทจะเน้นการทำCRM  เพื่อกระชับความสัมพันธ์กับลูกค้าเก่าและใหม่  ในด้านของกลยุทธ์การลดค่าใช้จ่าย  บริษัทจะเน้นการเพิ่มประสิทธิการใช้งานสินทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นด้านทรัพยากรบุคคล เช่น พนักงาน PC หรือ พนักงานขาย  ซึ่งส่วนนี้จะลดค่าใช้จ่ายในการด้านบุคลากรได้  รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้เครื่องจักรการผลิต เพื่อลดต้นทุนการผลิตให้ต่ำลงและได้ % GP ที่ดีขึ้น  ซึ่งจากกลยุทธ์ข้างต้นฝ่ายบริษัทเชื่อมั่นว่าจะผลักดันให้ผลประกอบการของบริษัทดีขึ้น