เปิดโผ 7 หุ้น SET50 ลุ้นกองทุนทำ “วินโดว์เดรสซิ่ง”

วินโดว์เดรสซิ่ง คือกลยุทธ์ที่นักลงทุนสถาบันหรือกองทุนใช้ในการปรับพอร์ตการลงทุนในช่วงปลายไตรมาสเพื่อทำให้ผลตอบแทนของพอร์ตการลงทุนดูดีขึ้น ซึ่งโดยปกติมักจะเห็นได้ชัดเจนในไตรมาส 2 และ 4 แต่อย่างไรก็ด้วยสถานการณ์ของตลาดหุ้นไทยในปีนี้ที่ปรับตัวลงอย่างรุนแรงก็มีมุมมองจากนักวิเคราะห์ที่น่าสนใจ

โดยนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ให้มุมมองว่าแม้โดยปกติในไตรมาส 1 ของทุกปีจะไม่ได้เห็นการทำวินโดว์เดรสซิ่งของนักลงทุนสถาบันอย่างมีนัยยะสำคัญ แต่เชื่อว่าปีนี้มีโอกาสที่จะแตกต่างจากปีที่ผ่านมา เนื่องจากผลตอบแทนของดัชนีตลาดหุ้นไทยตั้งแต่ต้นปีให้ตอบแทนติดลบมากถึง 16.2% ซึ่งถือว่าแย่ที่สุดในรอบ 25 ปี หากไม่นับรวมปีที่เกิด COVID-19 

ดังนั้น มองว่านักลงทุนสถาบันมีโอกาสที่จะเข้ามาทำวินโดว์เดรสซิ่งเพื่อไม่ให้ผลตอบแทนของพอร์ตการลงทุน ณ สิ้นไตรมาสดูแย่จนเกินไป ซึ่งมูลค่าของตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันถือว่าอยู่ในโซนที่ถูกมากแล้วน่าจะทำให้นักลงทุนสถาบันกล้าที่จะเพิ่มน้ำหนักการลงทุนมากขึ้น 

โดยในเชิงกลยุทธ์ มองว่าหุ้นที่ยัง Underperform SET50 และมูลค่าไม่แพง มีโอกาสจะเป็นเป้าหมายหลักของการเพิ่มน้ำหนัก จากนักลงทุนสถาบันช่วงปลายไตรมาสนี้ ได้แก่ CRC, GPSC, CBG, BEM, PTTGC, BANPU และ OSP

สำหรับปัจจัยพื้นฐาน CRC นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ประมาณการกำไรสทุธิปี 2568 ที่ 9,813 ล้านบาท  เพิ่มขึ้น 11%  การเข้าสู่ช่วงดอกเบี้ยขาลงจะเป็นบวกทั้งความต้องการสินค้าฟุ่มเฟือยและลดค่าใช้จ่ายโดยตรงให้กับบริษัทหนุนให้กำไรเติบโตได้ จึงแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 41.50 บาท

GPSC นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ให้มุมมองว่าระยะสั้นหุ้นมีปัจจัยหนุนจากการค่าไฟงวดเดือนพ.ค. - ส.ค. ของกกพ. ที่ 4.15 – 5.16 บาท/หน่วย หากไม่มีการแทรกแซงจากภาครัฐเพิ่มเติม ถือว่าไม่แย่ตามที่ตลาดกังวล  ทำให้ปี 2568 มีกำไรสุทธิที่ 4,541 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% และหุ้นยังมีโอกาสได้ประโยชน์จากการจัดตั้งกองทุน TESGX เนื่องจากเป็นหุ้น Big Market Cap. ที่มี SET ESG Rating สูงระดับ AAA จึงแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 39 บาท

CBG นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ให้มุมมองว่า แนวโน้มกำไรไตรมาส 1/68 ดูดีกว่าที่ประเมินไว้ก่อนหน้า โดยจะเติบโตทั้งช่วงเดียวและไตรมาสก่อน จากอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีขึ้นตามราคาต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับลง ประกอบกับไม่มีค่าใช้จ่ายพนักงานที่สูง เบื้องต้นประมาณการกำไรทั้งปี 2568 ที่ 3,382 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19% ดังนั้น มองราคาหุ้นมีโอกาสฟื้นตัวในระยะสั้นจากกำไรไตรมาส 1/68 ที่แข็งแกร่งแนะนำ “เก็งกำไร” ราคาเป้าหมาย 78 บาท 

BEM นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด มหาชน ให้มุมมองว่าราคาหุ้นปรับตัวลงต่ำกว่าช่วงโควิด ซึ่งไม่สอดคล้องกับผลประกอบการที่ดีขึ้นโดยในปี 2568 จะมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 3,991ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.3% ได้ผลบวกโครงการอสังหาฯใหญ่ที่เปิดเฟสใหม่เพิ่มหนุนผู้ใช้รถไฟฟ้าที่สถานีลุมพินีและทางด่วนที่ด่านพระราม 4 ได้ตลอดทั้งปี 2568 รวมไปถึงผลประกอบการในอนาคตจะก้าวกระโดดหลังเปิดใช้รถไฟฟ้าเส้นใหม่ จึงแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 10.30 บาท

PTTGC นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) คาดปี 2568 จะกลับมามีกำไรสุทธิอยู่ที่ 2,104 ล้านบาท จากบริษัทจะไม่ต้องรับรู้ผลขาดทุนจากการตั้งสำรองด้อยค่าของสินทรัพย์, ค่าใช้จ่ายทางการเงินต่ำลง และHDPE spread ที่ทรงตัว แม้ผลประกอบการจะยังคงอ่อนแอตามภาพรวมอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและโรงกลั่นในไตรมาส 1/68 แต่ก็น่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ดังนั้น แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 21 บาท

BANPU นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ให้มุมมองว่า ภาพรวมแนวโน้มผลประกอบการปี 2568 จะฟื้นตัวกลับมามีกำไรอยู่ที่ 3,471 ล้านบาท หนุนจากทิศทางราคาก๊าซธรรมชาติที่แข็งแกร่งและการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต - ลดต้นทุนการผลิตของธุรกิจถ่านหิน ทั้งนี้ แนะนำ “เก็งกำไร” ราคาเป้าหมาย 4.70 บาท โดยหุ้นมีเงินปันผลงวดครึ่งปีหลังปี 67 ที่ 0.12 บาท คิดเป็นอัตราผลตอบแทนเงินปันผล 2.9% จะช่วยจำกัดดาวน์ไซด์ราคาหุ้น

OSP นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ได้ปรับประมาณการกำไรปี 2568 ลง 7.4% เป็น 3,195 ล้านบาท เติบโต 5.3% จากรายได้และอัตรากำไรขั้นต้นที่ต่ำกว่าเป้า ส่วนราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายบน 13.6 เท่า ต่ำกว่าอดีต และสะท้อนแนวโน้มการแข่งขันตลาดชูกำลังที่รุนแรงขึ้น และสะท้อนความเสี่ยงที่กลยุทธ์ปี 2568 จะไม่ประสบความสำเร็จไปพอสมควรแล้ว  แต่อย่างไรก็ดีราคาหุ้นจะทยอยฟื้นได้หากตัวเลขส่วนแบ่งตลาดดีขึ้น จึงแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 20 บาทเหมาะสำหรับการซื้อลงทุนระยะยาวและราคาปัจจุบันคาดหวังเงินปันผลได้ราว 7.0% ต่อปี