Wealth Sharing

กำแพงภาษี “ทรัมป์” ชี้ชะตา 3 หุ้นอิเล็กทรอนิกส์


01 เมษายน 2568

หนึ่งนโยบายของสหรัฐฯอย่างภาษีการค้าระหว่างประเทศ ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนทั่วโลกเฝ้าติดตามและรอดูความชัดเจน เนื่องด้วยมีผลกระทบต่อการนำเข้าและส่งออกสินค้าหลากหลายชนิด ซึ่งสำหรับประเทศไทยเองก็ยังมีความเสี่ยงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

กำแพงภาษี “ทรัมป์”_S2T (เว็บ).jpg

โดยเฉพาะกลุ่มหุ้นชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ที่อาจจะได้รับผลกระทบในแง่ของความต้องการในตลาดโลกไปจนถึงการส่งออกไปยังประเทศสหรัฐฯ แม้ว่าจะเห็นผลกระทบที่ออกมาอย่างชัดเจน แต่ท่าทีของ “ทรัมป์ก็ยังเป็นอะไรที่คาดเดาได้ยาก ในวันนี้ทางเราจึงอยากจะจำลองสถานการณ์ในกรรณีต่างๆออกมาให้นักลงทุนและผู้อ่านได้เห็นกัน

สำหรับการจำลองสถานการณ์จะเป็นมุมมองผ่านนักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ที่ได้ให้ความเห็นไว้ว่าสงครามการค้าอาจลากยาวถึงไตรมาส 2/68 โดย หรัฐฯ อาจขึ้นภาษีเพิ่มเติม และอาจถูกตอบโต้จากยุโรป แคนาดา จีน เป็นแรงกดดันความต้องการของอุตสาหกรรมโดยภาพรวมอ่อนแอ

ขณะที่ความเสี่ยงที่ต้องระวัง ประเทศไทยมีความเสี่ยงจากนโยบาย "Reciprocal Tariff" ที่จะประกาศในช่วงวันที่ 2 เม.ย. 68 เนื่องจากประเทศไทยเก็บภาษีสหรัฐฯ สูงกว่าที่สหรัฐฯ เก็บจากไทย หากไทยถูกเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติม อาจกระทบการส่งออกไปสหรัฐฯและชะลอการย้ายฐานการผลิตจากจีนและเวียดนามมายังไทย HANA, KCE, DELTA มีสัดส่วนยอดขายไปสหรัฐฯ ในปี 2024 ที่25%, 23%, และ 26% ของยอดขายรวมของกลุ่มตามลำดับ

แต่ HANA มีโรงงานใน Ohio ที่มียอดขายราว7% ของยอดขายรวมทั้งปีคาด ช่วยลดผลกระทบได้บางส่วน ล่าสุดการประกาศเก็บภาษีรถยนต์ทั่วโลกจากสหรัฐฯ 25% กระทบให้ Automotive Sector ชะลอตัวลง กระทบต่อ KCE โดยตรงการเก็บภาษีในเดือน เม.ย. 68

ทั้งนี้ กรณีหากมาตรการภาษีเก็บที่ประเทศไทยโดยตรง ผู้ประกอบการย่อมได้รับ ผลกระทบ อย่างไรก็ดีผู้ประกอบการจะผลักภาระไปให้ลูกค้าได้บางส่วน และผลกระทบสุทธิคาดว่าจะไม่สูง แต่ราคาหุ้นจะได้รับแรงกดดันเชิงจิตวิทยา คาดราว 10% เนื่องจากเป็นประเด็นที่ยังไม่ได้อยู่ในประมาณการของตลาด

แต่ในทางตรงกันข้ามหากประเทศไทยไม่ถูกเก็บภาษี แต่ประเทศอื่นๆ ที่เป็นคู่แข่งโดยตรงถูกเก็บ ภาษี เช่น เวียดนาม จีน หรือ ไต้หวัน เป็นต้น ในกรณีนี้การย้ายฐานการผลิต หรือย้ายคำสั่งซื้อมา ประเทศไทยจะเพิ่มขึ้น เป็นบวกต่อกลุ่มโดยเฉพาะ CCET และ DELTA ที่เน้นการเติบโตจากการย้ายคำสั่งซื้อจากบริษัทแม่ที่ไต้หวันเพื่อกระจายความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์

ทั้งนี้ แม้อุตสาหกรรมอาจยังไม่สดใส 6-12 เดือนและความเสี่ยงด้านภาษียังสูงแต่หากมาตรการด้านภาษีมีความชัดเจน คาดว่าอุตสาหกรรมเริ่มปรับตัวในครึ่งปีหลังปี 68 และอาจเป็นจุดเริ่มต้นของรอบการฟื้นตัว แต่ยังคง แนะนำให้ระมัดระวังการลงทุน ระยะสั้นแบ่งกรณีการลงทุนเป็น 3 กรณี

1.หากประเทศไทยไม่ถูกเก็บภาษีโดยตรง คาดว่ากลุ่มจะมีรอบ Rebound สั้นๆ เน้นไปที่ DELTA หรือ CCET ที่จะได้ประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิต แต่การเก็งกำไรต้องเป็นระยะสั้นเพราะมีโอกาสที่สงครามการค้าจะกลับมากดดันได้อีกครั้ง 2.หากประเทศไทยถูกเก็บภาษีคาดหุ้นทั้งกลุ่มซึมลงต่อราว 10% และ3.หากการเก็บภาษียังไม่ชัดเจนจะเป็นปัจจัยกดดันต่อกลุ่มให้หุ้นแกว่งออกข้าง

ดังนั้น แม้ปัจจัยเสี่ยงรุมล้อม แต่ราคาหุ้นในกลุ่มปรับลดลงมาพอสมควรแล้ว ประมาณการของเราและตลาดมีดาวน์ไซด์ในกรณีเลวร้าย เช่น สงครามการค้านำไปสู่การตอบโต้ที่รุนแรงต่อเนื่อง กระทบต่อกำลังซื้อของอุตสาหกรรมทั่วโลกให้ฟื้นตัวช้า คาดอย่างน้อยอีก 15-20% จากประมาณการปัจจุบัน

อย่างไรก็ดี หากพิจารณาในระยะยาว 2-3 ปี มูลค่าของหุ้นในกลุ่มอยู่ในระดับที่เริ่มน่าสนใจ หุ้นรายตัว เช่น KCE หรือ HANA ลงมาที่ระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปีและราคาหุ้นใกล้เคียงช่วงที่เกิด COVID-19 ใหม่ๆ ที่ต้องหยุดการผลิตบางส่วน ดังนั้น หุ้นอาจยังอยู่ในวัฏจักรขาลงแต่กรอบการปรับลดจากระดับปัจจุบัน เชื่อว่าไม่ได้มีดาวน์ไซด์มากแล้ว

ในระยะสั้นภาวะตลาดที่อ่อนแอ การฟื้นตัวที่ยังจำกัดของอุตสาหกรรมและโอกาสถูกปรับลดประมาณการจากสงครามการค้าที่ทวีรุนแรงขึ้นจะกดดันให้หุ้นฟื้นตัวได้จำกัด

สำหรับกลยุทธ์แนะนำ ได้แก่

1.หากหุ้นปรับลดลงแรงเพราะประเทศไทยถูกเก็บภาษีโดยตรง ให้หาจังหวะที่ตลาดตกใจทยอยสะสม

2.หากประเทศไทยไม่ถูกเก็บภาษี เน้นเล่น Rebound ระยะสั้น เพราะแม้ประเทศไทยไม่โดนเก็บภาษีรอบนี้ แต่ก็อาจจะถูกเก็บเพิ่มเติมในระยะถัดไปก็เป็นไปได้

3.รอจังหวะสะสมรอบใหญ่ในช่วงครึ่งปีหลังปี 68 โดยต้องรอให้ผลกระทบของภาษีอยู่ในอุตสาหกรรมไปแล้ว

กำแพงภาษี-“ทรัมป์”.jpg