Talk of The Town

สยอง! SET เสี่ยงแตะ 1,000 จุด เซ่นพิษมาตรการภาษี “ทรัมป์” ฉุด “จีดีพี” ดิ่ง-กดดันกำไรบจ.


08 เมษายน 2568

นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ประเมินว่าดัชนี SET อาจร่วงลงไปที่ 1,000 จุด จากความเสี่ยงของการชะลอตัวทางเศรษฐกิจในไตรมาส 2/68 อาทิ การท่องเที่ยวที่อ่อนแอ การส่งออกที่ถูกท้าทายจากแรงกดดันจากมาตรการภาษี ภาคการบริโภคที่อ่อนแอ และการลงทุนที่ซบเซา

สยอง! SET เสี่ยงแตะ 1,000 จุด_S2T (เว็บ)_0.jpg

ขณะที่แรงหนุนเดียวที่อาจช่วยพยุงตลาดได้คือ การที่นักลงทุนกลับเข้าซื้อเมื่อมูลค่าตลาด (valuation) อยู่ในระดับที่ถูกเกินไปหากเทียบกับมูลค่าพื้นฐานซึ่งประเมินว่าอยู่ที่ระดับ P/E 10-11 เท่า หรือที่ดัชนี SET 1,000 จุด หรือการที่ผู้กำหนดนโยบายออกมาตรการกระตุ้นอย่างเร่งด่วนและเร็วกว่าที่คาด

นอกจากนี้ การผ่อนคลายนโยบายการเงินในการประชุม กนง. ช่วงกลางปี อาจช่วยให้ส่วนต่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตรขยายตัว (yield curve steepening) และหนุนดัชนี SET ได้ แต่จนกว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจะชัดเจน แนะนำให้เน้นลงทุนในกลุ่มหุ้นปลอดภัย ได้แก่

โรงพยาบาล (BCH, PR9, BDMS, BH) ซึ่งมีการเติบโตที่แข็งแกร่งท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจอ่อนแอ, กลุ่มโทรคมนาคม (TRUE, ADVANC) ที่ได้รับประโยชน์จากปัจจัยสนับสนุนของการควบรวมในอุตสาหกรรม, กลุ่มธนาคาร (KBANK, SCB) ซึ่งมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลและการบริหารเงินทุนที่ดี

อย่างไรก็ตาม วันที่ 30 เมษายน 2568 จะเป็นวันสำคัญสำหรับการประชุม กนง. ซึ่งอาจมีนโยบายเร่งด่วนออกมา หากเกิดขึ้นจริง อาจเกิดแรงหมุนเวียนจากหุ้นปลอดภัยไปสู่หุ้นกลุ่มเสี่ยงที่ได้รับประโยชน์ เช่น หุ้นที่มีภาระหนี้สูง (AWC, ERW, IRPC, GPSC) ซึ่งจะได้รับประโยชน์เป็นกลุ่มแรก และกลุ่มธนาคารขนาดเล็ก อุตสาหกรรมที่อิงกับการบริโภค (รวมถึงสื่อ) สินเชื่อนอกระบบ และอสังหาริมทรัพย์

ด้านนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ให้มุมมองว่า ผลจากสหรัฐฯประกาศจัดเก็บภาษีน-เข้าสินค้าจากไทยรุนแรงกว่าคาด เราจึงปรับประมาณการ GDP ปีนี้ลงเหลือ 1.5%-2.1% จากเดิม 3.1% และปรับ EPS เหลือ 82-88 บาทต่อหุ้น จากเดิม 92 บาทต่อหุ้น

โดยประเมินเป้าหมายดัชนีตลาดหุ้นไทยใน 3 กรณี คือ 1.กรณีแย่ที่สุด เจรจาไม่สำเร็จถูกสหรัฐฯเก็บภาษี 37% คาด GDP ปี 2568 เหลือโต 1.5% และ EPS ที่ 82 บาทต่อหุ้น  เพิ่มขึ้น 11% จากปีก่อน อิง P/E 14 เท่า  ได้เป้าหมายดัชนีตลาดหุ้นไทยที่ 1,150 จุด

2.กรณีฐาน เจรจาต่อรองได้บ้าง แต่ยังถูกสหรัฐฯจัดเก็บภาษี 20% คาด GDP ปี 2568 โต 1.9% และ EPS ที่ 85 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 15% จากปีก่อน อิง PE 15 เท่า ได้เป้าหมายดัชนีตลาดหุ้นไทยที่ 1,275 จุด

3.กรณีดีที่สุด เจรจาต่อรองได้เกือบทั้งหมด แต่ยังถูกสหรัฐฯเก็บภาษี 10% ที่เป็น Universal Tariffs คาด GDP ปี 2568 โต 2.2% และ EPS ที่ 88 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 19% จากปีก่อนหน้า อิง PE ที่ 15.7 เท่า ได้เป้าหมายดัชนีตลาดหุ้นไทยที่ 1,380 จุด

ทั้งนี้ การประเมิน SET Index Target ดังกล่าว ให้น้ำหนักกับผลกระทบของสงครามการค้าต่อ GDP เป็นหลัก หากมีความเสี่ยงด้านความขัดแย้งระหว่างประเทศเพิ่มเติม (Geopolitical Risk) ซึ่งเป็นผลต่อเนื่องจากการตอบโต้ทางการค้าระหว่างชาติมหาอำนาจ เช่น จีน และ EU อาจทำให้ Downside ของ GDP และ EPS เปิดกว้างกว่าที่คาด

ในทางตรงข้าม หากสหรัฐฯมีการผ่อนปรนมาตรการภาษีให้กับทุกประเทศทั่วโลก อาจเพิ่ม Upside ให้กับ GDP และ EPS เช่นกัน ประมาณการดังกล่าว จึงมีโอกาสถูกปรับลดหรือเพิ่มตามปัจจัยทั้งด้านลบ และด้านบวก ที่จะเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในอนาคตด้วย

สำหรับดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลง 20% จากต้นปีคาดเป็นผลจากการทรุดตัวของหุ้นที่มีปัจจัยลบเฉพาะ คือ DELTA, AOT, CPALL, กลุ่มโรงไฟฟ้า รวมกันราว 8% และแรงขายของ LTF คาดมีผลราว 4% ที่เหลืออีก 8% คาดเป็นผลจากการลดความเสี่ยงต่อกรณีสงครามการค้า

ถ้าอิงผลกระทบจากสงครามการค้ากรณีแย่สุดและกรณีฐาน ที่ทำให้คาดการณ์ EPS ถูกปรับลงจากเดิม 10% ถึง 13%  ซึ่งคาดว่าดาวน์ไซด์เฉพาะประเด็นนี้จะเหลืออีกไม่เกิน 2% ถึง 5% เทียบเท่ากรอบล่างของ SET Index ที่ 1,050-1,100 จุด

ในเชิงของกลยุทธ์การลงทุน แนะนำทำ Sector Rotation พร้อมกับติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด โดยกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจำกัดและสามารถใช้พักเงินได้ คือ กองรีทและกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน, สื่อสาร, โรงไฟฟ้า, ค้าปลีกสินค้าจำเป็น และการแพทย์

ส่วนกลุ่มที่ได้รับผลกระทบเชิงลบโดยตรง อาจต้องชะลอการลงทุนไปก่อน คือ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์,ชิ้นส่วนยานยนต์, สินค้าเกษตร, นิคมอุตสาหกรรม,อาหารเครื่องดื่ม, ขนส่งและโลจิสติกส์ กลุ่มที่ได้รับผลกระทบเชิงลบโดยอ้อม เช่น พลังงาน,ธนาคารพาณิชย์, ไฟแนนซ์, ท่องเที่ยว ให้เน้นจับจังหวะลงทุนเมื่อราคาหุ้นปรับฐานลงมาลึกเท่านั้น

SET