หลังจากเป็นประเด็นที่สร้างความกังวลให้แก่ตลาดหุ้นทั่วโลกมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง ล่าสุดวันที่ 2 เม.ย. 68 โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ก็ได้ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าแบบฐานขั้นต่ำในอัตรา 10% จากทุกประเทศที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ ส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลงกับประเด็นข่าวดังกล่าว
แต่อย่างไรก็ดี การตอบโต้ในครั้งนี้ ก็ได้ส่งผลกระทบกับประเทศมหาอำนาจทั้งจีนและสหรัฐฯ แต่จะมากน้อยเพียงใด ทางสำนักข่าว Shre2Trade จึงได้หยิบยกมุมมองจากนักวิเคราะห์มาแบ่งปันให้แก่ผู้อ่านและนักลงทุนที่มีพอร์ตอยู่ในต่างประเทศมาให้ได้รับมือกับสถานการณ์ดังกล่าวกัน
นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ให้มุมมองเชิงลบกับนโยบายภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯเพราะจะกระทบกับภาพรวมเศรษฐกิจและผลประกอบการในช่วงครึ่งปีหลังปี 68 และจะยิ่งแย่ลงหากว่ามีการตอบโต้ระหว่างกัน จึงต้องเน้นตั้งรับและกระจายความเสี่ยงเป็นหลัก
ขณะที่เมื่อแนวโน้มเงินเฟ้อสูงขึ้นทําให้ตัวแปรของนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายที่สนับสนุนตลาดก่อนหน้านี้ทําได้จํากัด และผลกระทบของภาษีกระทบในวงกว้างซึ่งจะทําให้แนวโน้มการเติบโตถูกปรับลดประมาณการเติบโตเศรษฐกิจและกําไรของบริษัทจดทะเบียน (แต่ปริมาณการปรับลงยังไม่ชัดเจน) เป็นจากความเสี่ยงเศรษฐกิจหดตัวมีเพิ่มสูงขึ้น
ทั้งนี้ ตลาดอาจจะมีการฟื้นตัวได้บ้างหากว่ามีการเจรจากับสหรัฐและออกมาในทิศทางที่ดีแต่ก็จะไม่เปลี่ยนแนวโน้มของนโยบายภาษีตอบโต้ เพียงแต่จะได้ลดจากที่กําหนดไว้เดิม จึงแนะนําหลีกเลี่ยงกลุ่มยานยนต์ กลุ่มเสื้อผ้ากีฬา กลุ่มบริการทางการเงิน ส่วนกลุ่มที่ได้รับผลกระทบทางอ้อมได้แก่ กลุ่มท่องเที่ยว กลุ่มธนาคาร กลุ่มพลังงาน
สำหรับธุรกิจที่ได้รับผลกระทบในตลาดหุ้นสหรัฐฯ กลุ่มเทคโนโลยี TSMC, บริษัทซอฟต์แวร์ที่มี Data center ในต่างประเทศ ได้รับผลกระทบต่อต้นทุนเพิ่มขึ้นจากภาษี, การแข่งขันลดลง กลุ่มเสื้อผ้า LULU, NKE, GAP, ADS ต้นทุนนําเข้าเพิ่มขึ้น, ราคาสินค้าสูงขึ้น, กําไรลดลง กลุ่มค้าปลีกและ E-commerce WMT, COST, TGT ต้นทุนนําเข้าสินค้าอาหารเพิ่มขึ้น
กลุ่มยานยนต์ RIVN ภาษีนําเข้า 25%, ราคารถยนต์สูงขึ้น, ยอดขายลดลง กลุ่มฮาร์ดแวร์ AAPL ราคาสินค้าสูงขึ้น,ยอดขายลดลง กลุ่มการท่องเที่ยว บริษัทท่องเที่ยว, สายการบิน ต้นทุนการเดินทางสูงขึ้นและนักท่องเที่ยวลดลง กลุ่มการเงิน ธนาคารพาณิชย์ ความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย, กําไรลดลง กลุ่มการบินและอวกาศ Boeing ยอดขายลดลงจากลูกค้าจีนและกลุ่มสุขภาพ AZN, MRK ต้นทุนนําเข้ายาเพิ่มขึ้น, ราคายาแพงขึ้น
ขณะที่ธุรกิจได้รับผลกระทบในตลาดหุ้นจีน กลุ่มสินค้าคงทนผู้บริโภคและเครื่องแต่งกาย Li Ning, Anta Sports ประเมินส่งผลกระทบต่อกําไรราว 56% กลุ่มอุปกรณ์และฮาร์ดแวร์เทคโนโลยี Lenovo, DJI, ZTE ประเมินส่งผลกระทบต่อกําไรราว 46% กลุ่มยา Sinopharm, WuXi AppTec,Shanghai Pharmaceuticals ประเมินส่งผลกระทบต่อกําไรราว 33%
กลุ่มสินค้าทุน China Railway Group, CRRC Corporation ประเมินส่งผลกระทบต่อกําไรราว 18% กลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ SMIC, Hua Hong Semiconductor, Will Semiconductor ประเมินส่งผลกระทบต่อกําไรราว 9% กลุ่มยานยนต์ ผลกระทบจํากัดเนื่องจากไม่มีการทําตลาดในสหรัฐฯ กลุ่มธนาคาร ICBC, BOC, AgBank, CCB ผลกระทบทางอ้อมหลังสินเชื่อภาคการผลิตจํานวนมากอาจกลายเป็นหนี้เสีย (NPL)
ทั้งนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐOแนะนํา Verizon, CVS, Pfizer, UnitedHealth, Costco, Pepsico, Colgate Palmolive และตลาดหุ้นจีนแนะนํา Xiaomi, JD.com, Hong Kong Exchange, Trip.com, China Mobile, Tencent, Alibaba