Gossip Station..by เจ๊จิ๋ม

Gossip Station by..เจ๊จิ๋ม 10-04-25 (สวมบทชาวสวน!!!)


10 เมษายน 2568

 Gossip Station by..เจ๊จิ๋ม 10-04-25 (สวมบทชาวสวน!!!)

 

10-04-25 สวัสดี “ปีงูไฟ" ค่ะพี่น้องชาวไทยที่รัก "เจ๊จิ๋ม" มารายงานตัว ณ ที่เก่าเวลาเดิม www.share2trade.com เปิดอ่านได้เลยมีเรื่องเด็ดๆ โดนๆ มาเม้าท์กันให้สนั่นวงการลงทุนของพวกเรากันเถอะ 

***ถ้าเป็นภาษาชาวบ้านจะพูดว่า”เกือบหลับแต่กลับมาได้” สำหรับใช้กับสถานการณ์ของตลาดหุ้นไทยเราเมื่อวานนี้ ตอนเช้าเปิดมานี่อาการร่อแร่ หุ้นไหลลึกลงอีก พอตอนบ่ายจู่ๆ ก้อมีแรงสวนซื้อหุ้นเข้ามาและเด้งขึ้นมาปิดที่ 1088.18 จุด เพิ่มขึ้น +13.59 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายรวม 50,884 ลบ.

***ก่อนอื่นวันนี้ขอแสดงความยินดีกับ บมจ.ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง หรือ SNNP เมื่อวานตลท.ประกาศให้เป็น หลักทรัพย์ที่จะนำมารวมในการคำนวณดัชนี SET100 และ SET100FF ซึ่งเข้ามาแทนหลักทรัพย์ JTS ที่ถูกนำออกจากดัชนี SET100 และ SET100FF

***วกกลับมาที่เรื่องหุ้น..เมื่อวานเล่นบทชาวสวนดัน SET INDEX ปิดบวกจนได้ แต่อยากะสะกิดแฟนคลับที่รักว่า “อย่าชะล่าใจ” เพราะเรื่องสงครามการค้าไม่รู้ว่าจะยุติอย่างไร  และอีกเรื่องคือสัปดาห์หน้าเป็นเทศกาลสงกรานต์  ซึ่งมีวันหยุดหลายวันและพฤติกรรมของนักลงทุนส่วนใหญ่ มักจะเทขายหุ้นเพื่อถือเงินสดเอาไว้ก่อน เพื่อบริหารความเสี่ยง เพราะไม่รู้ว่า 4 วันที่หยุดทำการ จะเกิดเรื่องราวอะไรขึ้นบ้างในช่วงเวลานั้น

***มีรีเสิร์ชที่น่าสนใจจาก KSS อ่านแล้วเชื่อว่าจะได้ประโยชน์แน่นอน เลยหยิบเอามาบอกต่อกับแฟนคอลัมน์ “Gossip Station by..เจ๊จิ๋ม”

***Tariff Shock: ความเสี่ยงเชิงระบบครั้งใหม่ หลังยุค COVID-19 การปรับนโยบายภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ในต้นปี 2025 มีนัยสำคัญเป็นความเสี่ยงเชิงระบบ (Systemic Risk) ครั้งแรกหลังวิกฤต COVID-19 ที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เศรษฐกิจที่พึ่งพาการส่งออกสู่สหรัฐฯในสัดส่วนสูง อย่างประเทศไทย (ประมาณ 18% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดในปี 2024) จะได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ การปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานโลกที่อาจตามมาจะเป็นตัวแปรสำคัญในการกำหนดทิศทางการลงทุนและการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะกลางถึงยาว ภายใต้สัญญาณนี้ SET Index ก าลังอยู่ในจุดเปลี่ยนสำคัญที่จะสะท้อนการตอบสนองต่อความเสี่ยงหลักของโลกในเวลานี้

***ข้อมูลเชิงลึกจาก Equity Risk Premium (ERP) บ่งชี้ว่าตลาดหุ้นไทยได้เข้าสู่โซนความกลัวสูงสุด (Panic Zone) ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่มักเกิดขึ้นในช่วงตลาดกระทบจากวิกฤต ซึ่งบ่งชี้ว่าช่วงเวลาดังกล่าวมักสร้างโอกาสเชิงกลยุทธ์ให้กับนักลงทุนที่มีการจัดการความเสี่ยงอย่างเป็นระบบ ภายใต้สมมติฐานต่างๆ เกี่ยวกับผลกระทบจาก TariffReciprocity และการตอบโต้ระหว่างประเทศ การทยอยเข้าสะสมหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่งและมี Earnings Visibility ชัดเจนอาจเป็นกลยุทธ์ที่เหมาะสมในระยะยาว โดยเฉพาะในบริษัทที่มีความยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลงห่วงโซ่อุปทานและมีฐานลูกค้าที่หลากหลาย

***นโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ส่งผลกระทบเกินกว่าแค่ Market Sentiment โดยมีนัยสำคัญต่อประมาณการกำไร (EPS Trajectory)ของบริษัทจดทะเบียนไทยในปี 2025 ความเสี่ยงการชะลอตัวของการค้าโลก (Global Trade Slowdown) ผนวกกับความผันผวนของราคาสินค้าโภคภัณฑ์จาก Demand Shock จะกระทบห่วงโซ่มูลค่าทั่วโลก โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่อิงการส่งออก ในขณะเดียวกัน ตลาดเกิดใหม่ (EMs) อาจเผชิญกับแรงกดดันจากการไหลออกของเงินทุนแม้ว่าตลาดไทยอาจได้รับผลกระทบด้านลบในระยะสั้น แต่การปรับตัวของ Supply Chain ในระยะยาวอาจนำมาซึ่งโอกาสใหม่จากการ Diversification ของห่วงโซ่อุปทานโลก

***ERP (Earning Yield - 10Y Bond Yield) พบว่า ณ วันที่ 8เมษายน 2025 ระดับ ERP ของ SET Index อยู่ที่ 5.77% ซึ่งสูงกว่า+2SD หรือเทียบเท่ากับระดับความกลัวในเหตุการณ์ Subprime(2008) ERP ราว 7.25% และ COVID-19 (ERP 6.25%) ซึ่งถือเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่า :

- ตลาดสะท้อนความเสี่ยงเชิงลบใกล้เต็มที่แล้ว

- Upside Risk เริ่ม มีมากกว่า Downside Risk หาก ปัจจัยลบเพิ่มเติมไม่รุนแรงกว่าคาดการณ์

- ระดับความกลัวของนักลงทุนอาจมากกว่าความเสี่ยงที่แท้จริง (Panic Repricing)

***วิเคราะห์ความอ่อนไหวใน Scenario: คาดการณ์ SET Indexภายใต้ระดับ EPS และ ERP ต่างๆ จะพบว่าระดับความเสี่ยงของ EPS ที่เปลี่ยนไปตามสถานการณ์ความเสี่ยง จะสร้าง Impacts ต่อกรอบ Downside ของ SET จำกัดลง แตกต่างเพียง 40-50จุด ณ ระดับEPS ที่แตกต่างกัน 8-5บาทต่อหุ้น (Noted :สมมติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบปัจจุบัน 75เหรียญฯ(2025YTD 75.8 เหรียญฯ) ทุกๆ 5 เหรียญฯ ที่ต่ำกว่าคาดจะกดดัน EPS -2.8-3บาท)

***Strategy: ได้นำกรอบการวิเคราะห์ความอ่อนไหวมากำหนดเป็นกรอบ Downside เชิงกลยุทธ์การลงทุนแบบมีแบบแผนได้ดังนี้

***1) Base Case 50% – Tarriff Shock : SET เจอฐานในกรอบ 1060-1000จุด อิง ERP 5.77-6%, EPS ของตลาดอยู่ในกรอบ 88-82บาทต่อหุ้นกลยุทธ์ Tactical Buy on Deep Fear เน้น Domestic Undervalue - Defensive Sectors COMM, ICT, UTILITIES,HEALTH, High Yield -Rate cut Play : CPALL, BJC, HMPRO, ADVANC, GULF, BDMS, MTC (หรือ เพิ่มกลุ่มวัฏจักรอื่นๆ ที่อิงภายใน เช่น BANK, PROP, TOURISM เมื่อ Trump คลายนโยบายภาษีหลังจาก Hawkish เต็มที่ / FED เริ่มลดดอกเบี้ยรอบใหม่แบบ Dovish Tones)

***2) Worse Case 35% – SET Back to ERP Level of Covid-19 :SET เจอฐานในกรอบ 970-930จุด อิง ERP 6-6.25%, EPS ของตลาดอยู่ในกรอบ 82-80บาทต่อหุ้น เพิ่มกลุ่มวัฏจักรอิงภายใน เช่นBANK, PROP, TOURISM ผสาน Export ที่ Hedge Shock ได้ เน้นKBANK, KTB, MINT, ERW, LH, AP, CPF, DELTA, WHA, AMATA

***3) Worst Case 15% - SET Back to ERP Level of SUBPRIME-08 : SET เจอฐานในกรอบ 900-820จุด อิง ERP 7-7.25% , EPS ของตลาดอยู่ในกรอบ 78-75 บาทต่อหุ้น กรณีนี้ไม่ต้อง Panic แต่คือ Opportunities จากการเร่ง Repricing ของความเสี่ยงเชิงระบบก่อนหน้า เน้นลงทุนระยะยาว การเพิ่มพอร์ต Long Term Fund ในประเทศส าคัญมาก เน้นสร้าง Core Position บน EPS Recovery Trend

***Upside of SET Index :

-ระยะสั้นถึงกลาง SET จะกลับตัวสู่ ERP ลดลงสู่ระดับ 5% คือ +2SD ได้เป็นอย่างน้อย คือกรอบ 1,150-1250 จุด ใน 3 เดือนถัดไป

-ระยะกลาง เมื่อ SET เจอฐานต่ำสุด ในยามทะลุ ERP +2SD ขึ้นมามักฟื้นตัวได้ 30% ถึง 48% ในช่วง 10 เดือนถัดไป กรอบ 1320-1440จุด @ ERP 4% ยังเป็น Upside ระยะกลางที่พอคาดหวังได้ กรณีตลาดไม่ลึกกว่านี้มาก