มาตรการ "Reciprocal Tariffs" ของสหรัฐอเมริกาที่มีผลบังคับใช้ในวันที่ 9 เมษายน 2568 นี้ ทำให้นักลงทุนวิตกกังวลอย่างมาก ส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงอย่างร้อนแรง
แต่ที่น่าสนใจบริษัท ไทยอีสเทิร์น กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TEGH ผู้ผลิตและจำหน่ายยางธรรมชาติ และน้ำมันปาล์มดิบรายใหญ่ในภาคตะวันออก ออกมาพูดถึงประเด็นดังกล่าวว่า ไม่ส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้ายางพาราของ TEGH โดยเฉพาะยางแท่ง (Technically Specified Natural Rubber - TSNR) ซึ่งเป็นหนึ่งในสินค้าหลักที่ส่งไปยังตลาดสหรัฐฯ
นางสาวสินีนุช โกกนุทาภรณ์ กรรมการผู้จัดการ TEGH ยืนยันว่า การส่งออกสินค้ายางแท่งของบริษัทฯ ไปยังสหรัฐฯ ไม่ได้รับผลกระทบจากมาตราการขึ้นภาษี "Reciprocal Tariffs" ในครั้งนี้แต่อย่างใด เนื่องจากยางแท่งเป็นอยู่ในรายชื่อสินค้าที่ได้รับการยกเว้น และบริษัทมีฐานลูกค้าทั่วทุกทวีป
ขณะเดียวกัน อุปสงค์ของ EUDR ที่เพิ่มขึ้นจะส่งผลดีต่อผลบริษัทในปีนี้ทั้งในเชิงของปริมาณขายและอัตรากำไร ส่วนธุรกิจปาล์มน้ำมันจะสามารถเทิร์นอะราวด์ได้ในปีนี้ จากปัจจัยการลงทุนเครื่องจักรไปในปี 2567 และผลผลิตปาล์มที่จะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าปีก่อนที่ได้รับผลกระทบจะสภาวะเอลนีโญ รวมถึงสายพลังงานที่จะเติบโตได้ตามแผนในปีนี้
ที่น่าจับตา! แนวโน้มการเติบโตของบริษัท โดยล่าสุด นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ประเมินว่า แนวโน้มไตรมาส 1/2568 เบื้องต้นจะเติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากธุรกิจยางพาราที่คาดเติบโตทั้งจากด้านปริมาณขาย และราคาขายเฉลี่ย โดยคาดปริมาณขายยางพารา (ยางแท่งและน้ำยางข้น) ที่ 70,000 – 74,000 ตัน เติบโต 15% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และราคาขายเฉลี่ยที่ราว 70 บาท/กก. เติบโต 28% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามราคายาง SICOM ที่สูงขึ้น และปริมาณสัดส่วนยาง EUDR ที่เพิ่มขึ้น
แต่คาดกำ ไรชะลอลงจากไตรมาสก่อน เนื่องจาก GPM คาดปรับลงจากไตรมาสก่อน จากราคาต้นทุนวัตถุดิบยางที่สูงขึ้นมากกว่าราคาขายเฉลี่ยที่ปรับขึ้น ประกอบกับสัดส่วนรายได้ยาง EUDR คาดปรับลดลงจากไตรมาสก่อน อ่อนแอกว่าที่เราประเมินไว้ก่อนหน้าเล็กน้อย
ขณะที่บริษัทตั้งเป้าการเติบโตรายได้ปี 2568 ที่ 40% จากปีก่อน สูงกว่าประมาณการของฝ่ายวิจัยที่ 9% จากปีก่อนค่อนข้างมาก จากเป้าหมายการเติบโตในทุกธุรกิจ และคงเป้าปริมาณขายยางปี 2568 ที่ 2.5 – 2.8 แสนตัน เติบโต 15-20% จากปีก่อน เบื้องต้นประมาณการกำไรปกติปี 2568 ที่ 723 ล้านบาท เติบโต 21.2% และมีโอกาสปรับขึ้นหากแนวโน้มกำไรครึ่งปีแรก 2568 แข็งแกร่งกว่าที่ประเมินไว้
ดังนั้นจึงแนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสมที่ 5 บาท เหมาะสำหรับการซื้อลงทุนระยะยาว และคาดหวังเงินปันผลตอบแทนได้ที่สูงราว 8% ต่อปี