Wealth Sharing

เฟด หวั่นนโยบายภาษีทรัมป์ เป็นแรงกดดันเศรษฐกิจสหรัฐฯ โบรกฯ ชี้ นักลงทุนอาจโยกเงินเข้าตลาดเกิดใหม่


17 เมษายน 2568

นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนิตี้ จำกัด ให้มุมมองต่อประเด็นที่ นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯแสดงความกังวลอย่างชัดเจนว่า นโยบายภาษีนําเข้าที่ขยายตัวอย่างมีนัยสําคัญภายใต้การบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กําลังสร้างความท้าทายต่อการดําเนินนโยบายการเงินของ Fed โดยเฉพาะภารกิจในการควบคุมเงินเฟ้อควบคู่ไปกับการสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ

เฟด หวั่นนโยบายภาษีทรัมป์_WS (เว็บ)_0.jpg

พร้อมกันนี้ พาวเวลล์ระบุว่า แรงกดดันด้านเงินเฟ้อในปัจจุบันส่วนหนึ่งเกิดจากผลของภาษีนําเข้า ขณะเดียวกันกิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มแสดงสัญญาณชะลอตัว โดยเฉพาะดัชนี GDP ในไตรมาสแรกซึ่งคาดว่าจะโตในอัตราต่ำ ทั้งที่มียอดขายรถยนต์และการนําเข้าเร่งตัว เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากภาษีในอนาคต

ท่าทีของ Fed ยังคงระมัดระวัง โดยยังไม่ส่งสัญญาณชัดเจนเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ย พร้อมเน้นว่าการตัดสินใจใดๆ จะต้องอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลเศรษฐกิจที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจเข้าสู่ภาวะ "stagflation" ซึ่งเป็นภาวะที่เงินเฟ้อเร่งตัวในขณะที่การเติบโตชะลอลงและอัตราการว่างงานปรับเพิ่มขึ้น

ในขณะที่เมื่อวานนี้ (16 เม.ย.) จีนประกาศ GDP ประจําไตรมาส 1/68 เติบโตแข็งแกร่งเกินคาดที่ 5.4% จากแรงสนับสนุนของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ และการเร่งส่งออกเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากภาษีสหรัฐฯ โดยยอดค้าปลีกในเดือนมีนาคมขยายตัวถึง 5.9% และการผลิตภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น 7.7%

ทั้งนี้ จากถ้อยแถลงของนาย เจอโรม พาวเวลล์ และตัวเลขเศรษฐกิจสําคัญของจีนที่ออกมา ช่วยตอกย้ำมุมมองในไตรมาสที่ 2 ของเรา ที่จะเห็นการปรับตัวที่แข็งแกร่งกว่าของตลาดหุ้นเกิดใหม่ เมื่อเปรียบเทียบกับตลาดหุ้นพัฒนาแล้ว โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐฯ ประเมินตลาดหุ้นไทยจะเป็นหนึ่งในตลาดหุ้นที่นักลงทุนต่างชาติอาจเลือกเป็นแหล่งหลบภัยในไตรมาสที่ 2 นี้ ซึ่งเป็นช่วงที่การลงทุนในระดับโลกมีความเสี่ยงมากขึ้น

ด้านนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ให้มุมมองว่า วานนี้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ผันผวนหนักในกรอบ -1.0% ถึง -3.0% จาก 2 ปัจจัยหลักๆ ดังนี้ รัฐบาลสหรัฐฯ ตอบโต้จีน โดยประกาศจำกัดการส่งออกชิป AI รุ่น H20 ของ NVIDIA ไปยังจีน ทำให้บริษัทต้องบันทึกค่าใช้จ่ายสูงถึง 5.5 พันล้านเหรียญฯในงบการเงินประจำไตรมาส จึงทำให้วานนี้ NVIDIA ถูกPANIC SELL ไป -7% และกดดันหุ้นกลุ่มเทคในสหรัฐฯปรับตัวลงแรงไปด้วย

ขณะที่ถ้อยแถลงของพาวเวลล์วานนี้ ย้ำว่า หน้าที่หลักของ FED คือการดูแลเสถียรภาพราคาหรือควบคุมเงินเฟ้อให้อยู่ในเป้าหมาย (2%) ซึ่งเขากังวลว่าสงครามการค้าและการขึ้นภาษีนำเข้าอาจทำให้เงินเฟ้อพุ่งขึ้นชั่วคราว แม้เศรษฐกิจสหรัฐฯในปัจจุบันยังคงแข็งแกร่ง

โดยสรุป FED ไม่ได้ส่งสัญญาณบ่งชี้เกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ย แต่เฟดจะรอความชัดเจนมากขึ้น ก่อนที่จะพิจารณาปรับจุดยืนด้านนโยบาย (รอดูสถานการณ์WAIT-AND-SEE) ซึ่งทำให้ FED WATCH TOOL ยังคงคล้ายเดิมจากวันก่อนหน้า และประเด็นดังกล่าว ทำให้นักลงทุนยังมีความไม่มั่นใจและไม่กล้าลงทุนในตลาดหุ้นจึงเห็นเม็ดเงินโยกย้ายกลับเข้าบอนด์ยีลด์ในช่วงสั้น

อย่างไรก็ตามมีสัญญาณบวกเล็กๆหลังจากที่วานนี้ TRUMP เปรยว่ารอทางจีนเข้ามาเจรจา ซึ่งทางการจีนก็ตอบสนองว่าพร้อมเจรจาด้วย แต่มีข้อตกลง คือ TRUMP ต้องแสดงความเคารพ ไม่ดูหมิ่นจีน, ต้องผ่อนคลายการควบคุมการส่งออกเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น ชิป AI, ต้องเคารพจุดยืนของจีนต่อ “ไต้หวัน” ซึ่งต้องรอดูท่าทีของทรัมป์ว่าจะยอมเจรจาด้วยหรือไม่

ทั้งนี้ นักลงทุนมีการกระจายเงินลงทุนออกจากสหรัฐฯ มาในตลาดการเงินภูมิภาค รวมถึงตลาดการเงินไทยมากขึ้นสะท้อนได้จากวันที่ทรัมป์ประกาศตอบโต้ภาษี 185 ประเทศถึงปัจจุบัน (9 – 16 เม.ย. 68) กลับมีเม็ดเงินต่างชาติไหลเข้าตลาดตราสารหนี้ไทย 3 ใน 4 วันทำการสูงถึง 1.46 หมื่นล้านบาท, เข้าตลาดหุ้น 3 ใน 4 วันทำการ 883 ล้านบาทและเข้าตลาด TFEX 3 ใน 4 วันทำการ 30,854 สัญญา

ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุนแนะนำเก็งกำไรหุ้นพื้นฐานดีที่มีเม็ดเงินต่างชาติซื้อหนุนต่อเนื่องตั้งแต่วันที่มีประเด็นทรัมป์ตอบโต้ภาษี (9 –16 เม.ย. 68) อย่าง CPF, PTTGC, CPALL, STA, DELTA, TTB, TIDLOR, CRC, MINT, BGRIM