จับประเด็นหุ้นเด่น

รายงานพิเศษ : SAFE สุดปัง คว้าใบรับรองจากสาธารณสุข 10 ปีต่อเนื่อง ตอกย้ำเป็นบริษัทมาตรฐานสากล


17 เมษายน 2568

บมจ.เซฟ เฟอร์ทิลิตี้ กรุ๊ป (SAFE) ย้ำความมุ่งมั่นให้บริการระดับสากล คว้ามาตรฐานห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ ISO 15189:2022 และ ISO 15190:2020 ต่อเนื่อง 10 ปีซ้อน ขณะที่บล.กรุงศรีแนะนำ “ซื้อ” คาด Net margin  ปรับขึ้นต่อเนื่องช่วง 3 ปีข้างหน้า

SAFE สุดปัง_รายงานพิเศษ S2T (เว็บ_0.jpg

การมีมาตรฐานในการให้บริการระดับสากลเป็นสิ่งที่ผู้รับบริการให้ความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ  โดยเฉพาะในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์ และบมจ.เซฟ เฟอร์ทิลิตี้ กรุ๊ป (SAFE) ก็ได้ตอกย้ำความเป็นเลิศด้านคุณภาพและความปลอดภัย  โดยบริษัทในเครือ เน็ก เจนเนอร์เนชั่น จีโนมิค หรือ NGG ได้รับการรับรองมาตรฐานคุณภาพระดับสากล สำหรับห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ ISO 15189:2022 และ ISO 15190:2020 จากสำนักมาตรฐานห้องปฏิบัติการกระทรวงสาธารณสุข เป็นปีที่ 10 ติดต่อกัน

ซึ่ง ISO 15189:2022 เป็นมาตรฐานระดับสากลที่กำหนดแนวทางในการตรวจสอบคุณภาพและความสามารถของห้องปฏิบัติการทางการแพทย์  เพื่อให้มั่นใจว่าผลการตรวจทดสอบมีความแม่นยำและเชื่อถือได้ และ ISO 15190:2020 ให้ความสำคัญกับมาตรฐานด้านความปลอดภัยในห้องปฏิบัติการ โดยมุ่งเน้นการปกป้องทั้งบุคลากรและสิ่งแวดล้อมจากความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น

นพ.วิวัฒน์ กว้างคณานุรักษ์  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SAFE ย้ำว่า การได้รับการรับรองมาตรฐานทั้งสองนี้ ไม่เพียงแค่แสดงให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญในด้านการให้บริการการแพทย์ แต่ยังยืนยันถึงความมุ่งมั่นของเราในการยกระดับมาตรฐานการบริการ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าและผู้ป่วยว่าได้รับการดูแลอย่างมีคุณภาพและปลอดภัยในทุกขั้นตอน สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการให้บริการที่มีคุณภาพสูงสุด และความปลอดภัยที่เชื่อถือได้ ซึ่งเป็นหลักการที่บริษัทฯ ให้ความสำคัญอย่างยิ่ง

ด้านบล.กรุงศรี ออกบทวิเคราะห์โดยระบุว่า  แนะนำ Buy สำหรับ SAFE จากราคาหุ้นตอบรับความเสี่ยงลูกค้าจีนแล้ว   โดยประเมินราคาเป้าหมาย (TP 25F) ใหม่ 13.20 บาท ประเมินด้วยวิธี DCF WACC 9.7% L-T growth 3%  คิดเป็น Imply PE ปี 25F ที่ 23 เท่า ขณะที่ราคาหุ้น SAFE ซื้อขาย PE ปี 25F เฉลี่ย 15 เท่า หรือเทียบเท่า Forward PE ใกล้เคียง -2.0SD  เรามองเป็นโอกาสสะสม เนื่องจากยังมองว่า SAFE มีความน่าสนใจ

1) อยู่ในอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มการเติบโต จากความต้องการมีบุตรในคู่สมรสที่มีอายุเฉลี่ยสูงขึ้น ประกอบกับหลายประเทศ รวมทั้ง ประเทศไทยมีนโยบายส่งเสริมการมีบุตร เพื่อลดปัญหาโครงสร้างประชากรในระยะยาวจากอัตราการเจริญพันธุ์ทั่วโลกและไทยอยู่ในระดับต่ำ 

2) ประเทศไทยเป็นประเทศเดียวในอาเซียนที่ประกาศใช้กฎหมายสมรสเท่าเทียม และกฎหมายอุ้มบุญอยู่ระหว่างเสนอครม.และสภาฯพิจารณา คาดจะชัดเจนเดือน ก.ค.25 หากมีผลบังคับใช้จะช่วยขยายตลาด IVF เปิดกว้างขึ้น โดยเฉพาะคู่สมรส LGBTQ กลุ่มต่างชาติ

3) ได้เปรียบในการแข่งขันจากจุดเด่นเป็นผู้นำเทคโนโลยีสำหรับให้บริการเพื่อการมีบุตร และมีทีมแพทย์และบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ ทำให้มีอัตราความสำเร็จในการตั้งครรภ์จากวิธี ICSI+PGT เกินกว่า 70% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดที่45% (ข้อมูลกระทรวงสาธารณสุข)

4) มีตำแหน่งทางการตลาดชัดเจนจับลูกค้าพรีเมี่ยมทั้งกลุ่มชาวไทยและชาวต่างชาติ โดยลูกค้าเป้าหมายเป็นกลุ่มกำลังซื้อค่อนข้างสูง  ทำให้มีความอ่อนไหวต่อราคาไม่มาก นอกจากนี้มีการขยายตลาดร่วมกับเอเจนซีรายใหม่ๆ ในอินโดนีเซีย, บังคลาเทศ, เวียดนาม ทำให้มีโอกาสเติบโตจากลูกค้าใหม่ๆ 

5) คาดปี 25F-27F กำไรสุทธิเติบโตต่อปี +13%CAGR มีปัจจัยผลักดันจากคาดรายได้ให้บริการเติบโตเฉลี่ย +10%CAGR ตามการให้บริการเพิ่มขึ้น ประกอบกับมีผลบวก Economies of scale ของจำนวนการให้บริการเพิ่มขึ้นทั้งจำนวนรอบการเก็บไข่ (OPU Treatment cycle) และบริหารค่าใช้จ่ายมีประสิทธิภาพ ทำให้คาด Net margin ดีขึ้นจาก 20.1% ในปี 24 เป็น 20.3% / 21.6% / 22.6% ในปี 25F-27F ตามลำดับ รวมทั้งมีโอกาสเกิด upside จากกลยุทธ์เติบโตแบบ In-Organic