โบรกฯ หั่นเป้า CPALL-CPAXT ชี้แนวโน้มการเติบโตเริ่มไม่น่าสนใจ แม้คาดกำไรไตรมาส 1/68 เพิ่มขึ้น
นักวิเคราะห์หั่นเป้าหมาย CPALL เหลือ 64 บาท เพื่อสะท้อนความเสี่ยงและแนวโน้มการเติบโตของกำไรที่ไม่น่าสนใจแล้ว และลดเป้าหมาย CPAXT เหลือ 30 บาท แต่ยังคำแนะนำ “ซื้อ”
นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) คาดการณ์กำไรสุทธิของ CPALL ในไตรมาส 1/68 จะอยู่ที่ 6.8 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% จากช่วงเดียวกัน เป็นเพราะผลการดำเนินงานที่ดีของทั้ง CPAXT ธุรกิจ B2B และ B2C มี SSSG เป็นบวก และบริหารจัดการค่าใช้จ่าย SG&A ได้ดี และธุรกิจร้านสะดวกซื้อ CVs
ในขณะเดียวกัน กำไรที่ลดลง 5% จากไตรมาสก่อนหน้า จะเป็นเพราะผลจากปัจจัยฤดูกาล คาดว่ารายได้รวมบริษัทในเครือในไตรมาส 1/68 จะอยู่ที่ 2.51 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% จากช่วงเดียวกัน เพิ่มขึ้น 1% จากไตรมาสก่อน โดยคาดยอดขายจากสาขาเดิมอยู่ที่ประมาณ 2% ในไตรมาส 1/68 (จาก 4.9% ในไตรมาส 1/67 และ 4% ในไตรมาส 4/67)
ซึ่งเมื่อประกอบกับการขยายสาขาร้าน (คาดว่าจะมีการเปิดสาขาใหม่ประมาณ 200 ร้านในไตรมาส 1/68) คาดว่ายอดขายของธุรกิจ CVs ในไตรมาส 1/68 จะอยู่ที่ 1.16 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% ช่วงเดียวกัน, เพิ่มขึ้น 1% จากไตรมาสก่อนหน้าในขณะเดียวกัน อัตรากำไรจากการขายสินค้าของธุรกิจ CVs จะยังคงเพิ่มขึ้น จากการคัดสรรสินค้า ซึ่งเน้นไปที่อาหารพร้อมรับประทาน และ เครื่องดื่มพร้อมดื่ม ด้วยการนำเสนอสินค้าใหม่ ๆ ในขณะที่คาดว่าสัดส่วนยอดขายบุหรี่จะลดลง
ทั้งนี้ ปรับลดประมาณกำไรปี 2568-2569 ของ CPALL ลง 1-2% เพื่อสะท้อนถึงการปรับลดประมาณการกำไรของ CPAXT และการปรับลดสมมติฐาน SSSG ของธุรกิจ CVs จาก 3.5% เหลือ 3.0% เพื่อสะท้อนถึงความไม่แน่นอนจากการที่จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติและจีดีพีของประเทศไทยอาจจะต่ำกว่าที่คาดเอาไว้ ซึ่ง CPALL อาจจะถูกกระทบจากการที่จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติแผ่วลงเพราะ 15-20% ของสาขาร้านทั้งหมดตั้งอยู่ในพื้นที่ที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว
นอกจากนี้ ภาวะเศรษฐกิจที่แผ่วลงอาจจะทำให้ผู้บริโภคระมัดระวังการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้นและเลือกซื้อสินค้าที่คุ้มค่าเงิน จึงคาดว่ากำไรของ CPALL จะเพิ่มขึ้น 4% ในปี 2568 และ 6% ในปี 2569 ทั้งนี้ เนื่องจากภาวะตลาดโดยรวมไม่เอื้ออำนวย และคาดว่ากำไรจะโตในระดับเลขตัวเดียวต่ำ ๆ จึง de-rate PE จากเดิม 25 เท่า เหลือ 22 เท่า เท่ากับธุรกิจหมวดอาหารของ CRC แต่มี discount จาก CPAXT ที่ 26 เท่า
พร้อมกันนี้ ได้ปรับลดราคาเป้าหมายลงเหลือ 64 บาท อิงจาก PE ที่ 22 เท่า ถึงแม้เราจะประเมินราคาเป้าหมายแบบมี discount เพื่อสะท้อนความเสี่ยงและแนวโน้มการเติบโตของกำไรที่ไม่น่าสนใจแล้ว แต่ราคาปิดล่าสุดยังเหลืออัพไซด์อีกถึง 28% ดังนั้น จึงยังคงคำแนะนำ “ซื้อ”
ด้าน CPAXT นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) คาดว่ากำไรสุทธิในไตรมาส 1/68 จะอยู่ที่ 2.7 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% จากช่วงเดียวกัน จากยอดขายเพิ่มขึ้นพอสมควรจากการขยายสาขาร้าน และ SSSG ที่เป็นบวก รวมถึงการที่สามารถบริหารจัดการค่าใช้จ่าย SG&A ได้ดีขึ้น
ในขณะเดียวกัน กำไรที่ลดลง 32% จากไตรมาสก่อนหน้า เป็นผลจากปัจจัยฤดูกาล ทั้งนี้ เนื่องจากบริษัทขายสินค้าจำเป็น SSSG จึงน่าจะเป็นบวกได้(ในระดับเลขตัวเดียวต่ำ ๆ ถึงกลาง ๆ) ทั้งในส่วนของธุรกิจ B2B (Makro) และ B2C (Lotus’s) ซึ่งทำให้ยอดขายอยู่ที่ 1.27 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% จากช่วงเดียวกัน แต่ทรงตัวจากไตรมาสก่อนหน้า
ทั้งนี้ การคัดสินค้าของบริษัทและกลยุทธ์ private label น่าจะช่วยหนุนให้อัตรากำไรขั้นต้นจากการขายสินค้าเพิ่มขึ้น เป็น 14.1% คาดว่าค่าใช้จ่ายของธุรกิจค้าส่งจะเพิ่มขึ้นตามยอดขายเพราะค่าใช้จ่ายในส่วนที่เกี่ยวกับช่องทาง omni-channel (สัดส่วน SG&A ต่อยอดขายอยู่ที่ 10.1%)
ขณะที่บริษัทน่าจะบริหารค่าใช้จ่ายของธุรกิจค้าปลีกได้ดี และคาดว่ารายได้จากค่าเช่าจะลดลง 2% จากช่วงเดียวกันและ 5% จากไตรมาสก่อน เหลือ 3.3พันล้านบาท เพราะถึงแม้อัตราการเช่าพื้นที่จะยังอยู่ที่ประมาณ 92-93% แต่อัตราค่าเช่า เฉลี่ยน่าจะลดลงเพราะมีการเปลี่ยนตัวผู้เช่าหลัก
ทั้งนี้ ปรับลดประมาณการกำไรลงเพื่อสะท้อนภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน จากความเสี่ยงที่จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะต่ำกว่าเป้าหลังจากที่จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในไตรมาส 1/68 ออกมาที่ 9.5 ล้านคน คิดเป็น 25% ของสมมติฐานปี 2568 ที่ 38 ล้านคน และความเสี่ยงด้านดาวน์ไซด์ของจีดีพีไทยจากมาตรการภาษีนำเข้าสหรัฐ
อย่างไรก็ดีคาดว่าจีดีพีของไทยจะโตลดลงจากการที่สหรัฐเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าเป็น 10% หลังช่วงผ่อนผัน 90 วัน ซึ่งจะทำให้จีดีพีขยายตัวอยู่ในช่วง 2.0% - 2.3% ต่ำกว่าประมาณการเดิมที่ 2.6% ทั้งนี้ รายได้จากธุรกิจ B2B ของ CPAXT จากกลุ่มHoReCa อยู่ที่ 30% ของยอดขายรวม
โดยอาจจะได้รับผลกระทบจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่แผ่วลง ปรับลดประมาณการกำไรปี 2568 ลง 4% และ ปี 2568 ลง 5% เพื่อสะท้อนถึง SSSG ที่ลดลง และการปรับลดอัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจค้าปลีกลงเพื่อสะท้อนถึงการจัดแคมเปญทางการตลาดเพื่อสร้างสมดุลให้กับยอดขายรวมถึงอัตราการเช่าพื้นที่ที่ลดลง และ อัตราค่าเช่าที่ลดลงจากการเปลี่ยนตัวผู้เช่า ซึ่งจะกระทบกับรายได้ค่าเช่า
นอกจากนี้ ยัง de-rate PE จากเดิม 28 เท่า เหลือ 26 เท่า เพื่อสะท้อนถึงความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจให้ premium กับ CPAXT อยู่บ้างเมื่อเทียบกับหุ้นอื่นในกลุ่ม CPALL และ หมวดอาหารของ CRC ที่ 22 เท่า เนื่องจาก platform ของธุรกิจค้าส่งที่ขายสินค้าปริมาณมาก และ มีความคุ้มค่าเงิน ซึ่งจะเป็นทางเลือกให้กับลูกค้าในภาวะที่เศรษฐกิจไม่เอื้ออำนวย และมี synergy หลังการควบรวมกิจการ ทั้งนี้ ปรับลดราคาเป้าหมายลงเหลือ 30 บาท โดยอิงจาก PE ที่26 เท่า และ ยังคำแนะนำ “ซื้อ”
ยอดนิยม
%20copy_0.jpg)
สรุปงบ 2 แบงก์ประกาศวันนี้ KBANK กำไร 1.3 หมื่นลบ. เติบโต 1.08% KKP สาหัส! เหลือ 1 พันลบ. ดิ่ง 29.5%
%20copy_0.jpg)
ประชุมกนง.รอบหน้า มีลุ้นลดดอกเบี้ยเหลือ 1.75% เทรดวอร์ทำพิษ ฉุด GDP หลุดเป้า
%20copy_0.jpg)
โบรกฯ หั่นเป้า CPALL-CPAXT ชี้แนวโน้มการเติบโตเริ่มไม่น่าสนใจ แม้คาดกำไรไตรมาส 1/68 เพิ่มขึ้น
%20copy_0.jpg)
SCB ประกาศงบไตรมาส 1/68 กวาดกำไรสุทธิ 1.25 หมื่นล้านบาท โต 10.8% คุมต้นทุนอยู่หมัด-ตั้งสำรองลดลง 6.2%
%20copy_0.jpg)