มาตรภาษีตอบโต้การค้าของสหรัฐฯ ถือเป็นปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนทั่วโลกเกิดความกังวลอย่างต่อเนื่อง ด้วยความไม่แน่นอนของตัวเลขจัดเก็บภาษีแก่ประเทศต่างๆ ไปจนโอกาสที่จะทวีความรุนแรงขึ้น ซึ่งประเทศไทยเองก็ยังถูกแขวนอยู่บนความไม่แน่นอนดังกล่าวด้วยเช่นกัน
ดังนั้น ในวันนี้ทางสำนักข่าว Share2Trade จึงอยากที่จำลองสถานการณ์และผลตอบแทนจากนโยบายข้างต้น ผ่านมุมมองของนักวิเคราะห์ที่เราได้หยิบยกขึ้นมาในครั้งนี้ พร้อมกลยุทธ์ในการรับมือและการลงทุนสำหรับนักลงทุนไทย
โดยนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ประเมินกำไรของตลาดหุ้นไทยจากปัจจัยสงครามการค้าโดยมองผลกระทบจะขึ้นอยู่กับ “ระยะเวลาการเจรจา” และ “อัตราภาษีที่เก็บจริง” และประเมินจากทั้งแนวคิดแบบ Top-down และ Bottom-up ประกอบกัน
จากการศึกษาการปรับประมาณการกำไร (Earnings revision) ในช่วงปี 2561-2562 พบว่ามีการปรับลดกำไรลงถึง 27% เทียบปัจจุบันปรับลงไปแล้วเพียง 12% บวกกับความเสี่ยงเศรษฐกิจโลกชะลอตัวประเมินว่ากำไรมีโอกาสที่จะถูกปรับลงต่อ (ตามมุมมอง Top-down) ซึ่งสอดคล้องกับประมาณการกำไรของเราปรับลงไปต่ำกว่าตลาดแล้ว 12% (การประเมินแบบ Bottom-up) ทำให้ประเมินกำไรและเป้าหมายดัชนีใหม่ ดังนี้
กรณี Base-case โอกาสเกิด 50% อัตราภาษีเก็บจริงอยู่ที่ 20% ในครึ่งปีหลังปี 68 (เทียบ 10% ปัจจุบัน),มองจีดีพีไทยเติบโต 1.4%, กำไรต่อหุ้น EPS ของ SET คาดเหลือเพียง 82 บาท จากเดิม 90 บาท และต่ำกว่าที่ตลาดทำที่ 93 บาท, เติบโตจากปีก่อน 7%, เป้าหมายดัชนีตลาดหุ้นไทยปลายปี 2568 อยู่ที่ 1,280 จุด อิง P/E 15.7 เท่า
ต่อมา กรณี Bear-case โอกาสเกิด 25% อัตราภาษีเก็บจริงอยู่ที่ 36% เท่าที่ประกาศในครึ่งปีหลังปี 68, มองจีดีพี ไทยโต 0.9%, EPS ของ SET คาดเหลือเพียง 73 บาท หดตัวจากปีก่อน 5% และเป้าหมายดัชนีตลาดหุ้นไทยปลายปี 2568 อยู่ที่ 1,030 จุด อิง P/E 14.2 เท่า
และสุดท้าย กรณี Bull-case โอกาสเกิด 25% อัตราภาษีเก็บจริงอยู่ที่ 10% ในครึ่งปีหลังปี 68 , มองจีดีพีไทยเติบโต1.6% EPS ของ SET คาดที่ 87 บาท เติบโตจากปีก่อน 13% และเป้าหมายดัชนีตลาดหุ้นไทยปลายปี 2568 อยู่ที่ 1,360 จุด อิง P/E 15.7 เท่า
ทั้งนี้ ถึงแม้ประเมินว่ากำไรของ SET กรณีเลวร้าย มีดาวน์ไซด์จากที่ตลาด (ที่ยังไม่ปรับลง) ทำถึง 21% แต่ประเมินว่า SET ปรับตัวลงมาสะท้อนไปมากแล้ว แม้ใช้กำไร SET กรณีเลวร้าย ยังได้ดาวน์ไซด์บริเวณ 1,030 จุด มองว่าดาวน์ไซด์จำกัดแล้ว จึงมองตลาดผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว
แต่ระยะสั้น ตลาดยังผันผวนจากความไม่แน่นอนทั้งสงครามการค้า ทั้งเศรษฐกิจโลก แต่หากดัชนีปรับฐานลงมา มองเป็นจังหวะสะสม แต่ยังเน้นกลุ่มที่ผลตอบแทนที่คาดหวังเทียบความเสี่ยงคุ้มค่า มีทิศทาง earnings revision เป็นบวกในช่วงที่ผ่านมา ประกอบกับ และมีความเสี่ยงกำไรต่ำ ไม่โดนตัดกำไรลงแรงช่วงที่ผ่านมา ได้แก่ กลุ่มโรงไฟฟ้า, กลุ่ม ICT, กลุ่มค้าปลีกของใช้จำเป็น, กลุ่มโรงพยาบาล โดยหุ้นแนะนำได้แก่ CPALL CPF MINT GULF ADVANC BDMS
ยอดนิยม
%20copy_0.jpg)
TOP เลิกสัญญา EPC แล้ว หลัง Samsung Petrofac-Saipem ผิดสัญญานาน ยันไม่กระทบ CFP เสร็จ Q3/71 แน่
%20copy_0.jpg)
Thai ESGX มาถูกเวลา! หลังหุ้นไทยถูกมาก มีลุ้นฟันผลตอบแทน 25% ต่อปี
%20copy_0.jpg)
CK-STECON รอแบ่งเค้ก โครงการ “แลนด์บริดจ์” มาแน่ จ่อดันร่างกฎหมายเดือนต.ค.นี้
%20copy_0.jpg)
PTTEP ไตรมาส 1 กำไรลดลง 11% เหลือ 1.65 หมื่นลบ. ราคาน้ำมันดิบทรุด ฉุดราคาขายลดลง แต่ปริมาณขายเพิ่มขึ้น
%20copy.jpg)