นายเอกราช พรรณสังข์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเชี่ยน อะไลอันซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ AAI ผู้รับจ้างผลิตอาหารสัตว์เลี้ยง (Pet Food) และผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมทานบรรจุภาชนะปิดผนึก (Human Food) ชั้นนำของประเทศ และเจ้าของแบรนด์ผลิตภัณฑ์สัตว์เลี้ยงแมวและสุนัข “มองชู”, “ฮาจิโกะ” และ “โปร” เปิดเผยว่า ในปี 2566 บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้รวมของกลุ่มอยู่ที่ประมาณ 8,300 ล้านบาท หรือเติบโตมากกว่า 15% จากปีก่อน
โดยการเติบโตจะมาจากทั้งกลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยงและทูน่า โดยตั้งเป้ารายได้ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงที่ 7,200 ล้านบาท หรือเติบโตมากกว่า 15% จากการที่ ดีมานด์ยังเติบโต และบริษัทมีความพร้อมจากการขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีก 7,500 ตัน ทำให้มีกำลังการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียกรวมในปี 2566 เป็น 49,500 ตันต่อปี แม้คาดว่าออเดอร์ของบริษัทในไตรมาส 1/66 จะชะลอตัวจากการที่ลูกค้าในตลาดสหรัฐอเมริกาอยู่ในช่วงปรับปริมาณสต๊อคสินค้าเนื่องจากระยะเวลาสั่งสินค้าสั้นลงจากการที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 กลับสู่ภาวะปกติ และบริษัทยังคงเดินหน้าขยายกำลังการผลิตตามแผนที่จะขยายกำลังการผลิตเป็น 82,000 ตันภายในปี 2568 เพื่อสร้างโอกาสในการขยายฐานลูกค้าในภาวะที่อุตสาหกรรมยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง
“การขยายกำลังการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงน่าจะเป็นปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของบริษัท ทั้งกับลูกค้าปัจจุบันและเพิ่มลูกค้ารายใหม่ได้อย่างต่อเนื่อง การ IPO ก็ทำให้บริษัทมีเงินทุนเพียงพอที่จะสนับสนุนการเติบโตในขณะที่ เราได้นำเสนอต่อคณะกรรมการบริษัทขอปรับวัตถุประสงค์การใช้เงินจากการ IPO เพื่อให้สามารถนำเงินลงทุนที่คาดว่าจะยังไม่ต้องใช้ภายในปีนี้ มาสนับสนุนเงินทุนหมุนเวียนและใช้คืนเงินกู้ เพื่อลดต้นทุนของเงินทุนของบริษัทในภาวะดอกเบี้ยแพง ซึ่งจะเป็นข้อได้เปรียบ นอกจากนี้บริษัทยังเดินหน้าขยายตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงจากแบรนด์ตัวเองทั้งในประเทศไทย ประเทศจีน ตลอดจนกลุ่มประเทศเอเชียและตะวันออกกลาง ขณะที่ตั้งเป้ารายได้จากธุรกิจทูน่าอยู่ที่ 1,100 ล้านบาท หรือเติบโตจากปีก่อนที่ 12% โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากค่าระวางเรือที่ลดลง และการขนส่งทางเรือกลับเข้าสู่ภาวะปกติ มีตลาดสำคัญคือตะวันออกกลาง” นายเอกราช กล่าว
ในปี 2566 บริษัทฯ เชื่อว่าจะสามารถรักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้นให้อยู่ในระดับ 19-20% ได้ เนื่องจากต้นทุนขอวัตถุดิบเริ่มมีทิศทางที่มีเสถียรภาพมากขึ้น อีกทั้งบริษัทฯ เชื่อว่าจะสามารถบริหารจัดการความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนและต้นทุนการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยยังมีสภาพคล่องเพียงพอต่อการขยายกำลังการผลิตและสร้างคลังสินค้าอัตโนมัติแห่งที่ 2 ปีนี้ได้
โดยการเติบโตจะมาจากทั้งกลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยงและทูน่า โดยตั้งเป้ารายได้ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงที่ 7,200 ล้านบาท หรือเติบโตมากกว่า 15% จากการที่ ดีมานด์ยังเติบโต และบริษัทมีความพร้อมจากการขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีก 7,500 ตัน ทำให้มีกำลังการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียกรวมในปี 2566 เป็น 49,500 ตันต่อปี แม้คาดว่าออเดอร์ของบริษัทในไตรมาส 1/66 จะชะลอตัวจากการที่ลูกค้าในตลาดสหรัฐอเมริกาอยู่ในช่วงปรับปริมาณสต๊อคสินค้าเนื่องจากระยะเวลาสั่งสินค้าสั้นลงจากการที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 กลับสู่ภาวะปกติ และบริษัทยังคงเดินหน้าขยายกำลังการผลิตตามแผนที่จะขยายกำลังการผลิตเป็น 82,000 ตันภายในปี 2568 เพื่อสร้างโอกาสในการขยายฐานลูกค้าในภาวะที่อุตสาหกรรมยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง
“การขยายกำลังการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงน่าจะเป็นปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของบริษัท ทั้งกับลูกค้าปัจจุบันและเพิ่มลูกค้ารายใหม่ได้อย่างต่อเนื่อง การ IPO ก็ทำให้บริษัทมีเงินทุนเพียงพอที่จะสนับสนุนการเติบโตในขณะที่ เราได้นำเสนอต่อคณะกรรมการบริษัทขอปรับวัตถุประสงค์การใช้เงินจากการ IPO เพื่อให้สามารถนำเงินลงทุนที่คาดว่าจะยังไม่ต้องใช้ภายในปีนี้ มาสนับสนุนเงินทุนหมุนเวียนและใช้คืนเงินกู้ เพื่อลดต้นทุนของเงินทุนของบริษัทในภาวะดอกเบี้ยแพง ซึ่งจะเป็นข้อได้เปรียบ นอกจากนี้บริษัทยังเดินหน้าขยายตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงจากแบรนด์ตัวเองทั้งในประเทศไทย ประเทศจีน ตลอดจนกลุ่มประเทศเอเชียและตะวันออกกลาง ขณะที่ตั้งเป้ารายได้จากธุรกิจทูน่าอยู่ที่ 1,100 ล้านบาท หรือเติบโตจากปีก่อนที่ 12% โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากค่าระวางเรือที่ลดลง และการขนส่งทางเรือกลับเข้าสู่ภาวะปกติ มีตลาดสำคัญคือตะวันออกกลาง” นายเอกราช กล่าว
ในปี 2566 บริษัทฯ เชื่อว่าจะสามารถรักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้นให้อยู่ในระดับ 19-20% ได้ เนื่องจากต้นทุนขอวัตถุดิบเริ่มมีทิศทางที่มีเสถียรภาพมากขึ้น อีกทั้งบริษัทฯ เชื่อว่าจะสามารถบริหารจัดการความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนและต้นทุนการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยยังมีสภาพคล่องเพียงพอต่อการขยายกำลังการผลิตและสร้างคลังสินค้าอัตโนมัติแห่งที่ 2 ปีนี้ได้