จับประเด็นหุ้นเด่น
สัมภาษณ์พิเศษ : “ตลาดรถยนต์-รองเท้า-ธุรกิจใหม่” ฟื้น หนุนมาร์จิ้น IHL แตะ 18-20 %
16 มีนาคม 2566
ตลาดรถยนต์ปีนี้กลับมาสดใสมากขึ้น กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์คาดการส่งออกอาจแตะ1.05 ล้านคัน ซึ่งจะส่งผลดีต่อบริษัท อินเตอร์ไฮด์ (IHL) มากน้อยแค่ไหน และปีนี้ผลงานบริษัทจะมีทิศทางอย่างไร ไปติดตามการพูดคุยนี้กับ “วศิน ดำรงสกุลวงษ์” กรรมการ และผู้จัดการทั่วไป
สาเหตุที่ทำให้กำไรในปี 65 ลดลง
มาจาก 1. ค่าเงิน ที่มีความผันผวนมาในปีที่ผ่านมา ขณะเดียวกันบริษัทไม่สามารถปรับราคาขายได้ตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้น และการขายในประเทศแม้จะเติบโตดี แต่เงินบาทก็อ่อนค่า
2.ต้นทุนเพิ่มขึ้น จากค่าแรงที่แพงขึ้น เพราะหาช่างได้ยากขึ้น ค่าเคมีภัณฑ์ที่ปรับเพิ่มขึ้นจากสาเหตุของสงครามรัสเซียและยูเครน และค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงมากในช่วงที่ผ่านมา
3.ค่าไฟที่ปรับขึ้น ทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นประมาณ 2% ซึ่งในเรื่องราคาค่าไฟฟ้า บริษัทอยู่ในช่วงของการติดโซลาร์เซลล์เพื่อใช้ในโรงงานทุกแห่ง แม้การติดตั้งจะต้องใช้เงินทุน ซึ่งคาดว่าอยู่ที่ประมาณ 100 ล้านบาท แต่บริษัทอยู่ระหว่างการขอสิทธิพิเศษทางภาษีจากบีโอไอ ซึ่งจะทำให้ได้รับเครดิตคืนภาษี และลดภาระต้นทุนได้ในระดับหนึ่ง
การลงทุนปี 66 ใช้เงินเท่าไร
ตัวผลิตภัณฑ์หนังไม่ได้ลงทุนเพิ่ม แต่จะลงทุนในธุรกิจใหม่ ทั้งคอลลาเจนและเจลลาติน ซึ่งหากลูกค้าให้การตอบรับดี ก็จะขึ้นโรงงานใหม่ น่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 100-200 ล้านบาท โดยระยะเวลาในการสร้างโรงงานประมาณ 9 เดือน หลังจากนั้นก็รับรู้รายได้ ได้ทันที
ปัจจัยบวกและปัจจัยลบปีนี้
การเปิดประเทศในช่วงที่ผ่านมา ทำให้มีนักท่องเที่ยวเข้ามามากขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในประเทศให้ปรับตัวดีขึ้น คนมีกำลังซื้อมากขึ้น ลูกค้าเปลี่ยนรถง่ายขึ้น และทำให้รถยนต์ขายได้มากขึ้น
ส่วนปัจจัยกดดันปีนี้ น่าจะมาจากเรื่องค่าแรงที่ปรับจะเพิ่มขึ้นจากการหาเสียงของพรรคการเมืองต่างๆ และค่าไฟที่เพิ่มขึ้น ทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น ซึ่งการปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำขึ้นมาก ทำให้ผู้ประกอบการหันไปใช้เทคโนโลยีในการผลิตแทน เนื่องจากมีความคุ้มค่าการลงทุน และยังทำให้ราคาสินค้าปรับเพิ่มขึ้นตามต้นทุนค่าแรงที่เพิ่มขึ้น
เป้าหมายปี 66
ปีนี้ยอดขายน่าจะเติบโตได้ 10-15% แต่จะเน้นการทำกำไร โดยดึงมาร์จิ้นไปอยู่ที่ 18-20% เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วที่อยู่ที่ 15% และปัจจุบันยอดขายกลับไปเท่ากับช่วงก่อนเกิดโควิดที่ 2,000 ล้านบาท ซึ่งจะได้กำไรประมาณ 180-220 ล้านบาท
ธุรกิจเด่นของเราในปี 66
หลายธุรกิจมีความโดดเด่นมากขึ้น โดยธุรกิจรถยนต์ปีนี้จะน่าจะเติบโตได้ดีขึ้น ตลาดรถยนต์มีเสถียรภาพ ส่วนธุรกิจผลิตรองเท้า น่าจะหวือหวาช่วงครึ่งปีหลัง คิดว่าหลังไตรมาส 3-4 ยอดเพิ่มขึ้นมาก ซึ่งเป็นไปตามฤดูกาลของสินค้า ส่วนธุรกิจผลิตเฟอร์นิเจอร์ ยอดขายน่าจะทรงตัวใกล้เคียงปีก่อน ส่วนสินค้าอื่นก็ค่อนข้างทรงตัวส่วนธุรกิจขนมขบเคี้ยวสุนัข ภายใต้แบรนด์ "MOMO & FRIENDS" ปีนี้จะขยายตลาดมากขึ้น เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย ทำให้คนรู้จักสินค้ามากขึ้น
สัดส่วนรายได้
รายได้ปัจจุบัน 2,000 ล้าน มาจากรถยนต์ 65% รองเท้า 10% รับจ้างผลิต 15% อื่น 10% เราอยากให้ในอนาคต รถยนต์ อยู่ที่ 60% รองเท้า 15% รับจ้างผลิต 15% อื่น 10% ปีนี้น่าจะปรับได้ประมาณนี้ ซึ่งมาร์จิ้นอยู่ที่ 18-20% กลับเข้าสู่ภาวะปกติของบริษัท
ด้านการลงทุน
มีบริษัทลูก ถึงจุดหนึ่งจะนำเข้าตลาด ซึ่งถ้าได้เปิดโรงงาน คิดว่าภายใน 2 ปี ยอดขายจะถึงจุดที่สามารถเข้าจดทะเบียนได้
การร่วมทุนกับคนอื่น
เราไม่ได้บอกว่าไม่ แต่ยังไม่มีคนที่ใช่ในขณะนี้ และแม้ไม่มีพันธมิตร บริษัทก็ไม่มีปัญหาในเรื่องการระดมทุน
หุ้นมี Story
หลักคือบริษัทลูก ซึ่งวันใดที่บริษัทลูกเข้าตลาด เราจะให้สิทธิ์กับคนที่ถือหุ้น IHL ก่อน เพื่อตอบแทนผู้ถือหุ้น และหุ้น IHL ก็เป็นหุ้นปันผล ปีที่แล้ว ปันผลน้อยแต่เมื่อผลงานเป็นปกติ ก็จะปันผลเหมือนเดิมไม่ต่ำกว่า 40%
ไตรมาสแรกที่ผ่านมาเป็นอย่างไร
แนวโน้มดี เดินทางบ่อยมากทุกเดือน เพื่อคุยกับลูกค้า คิดว่าปีนี้ยอดขาย เกิน 2,000 ล้านบาท แต่กำไรดีขึ้นมาก ส่วนเดือน1-2 เดือนที่ผ่านมา กำไรยังไม่ดีมาก จากค่าเงินและค่าไฟฟ้าที่ปรับขึ้น และเมื่อทุกอย่างลงตัวแล้ว คิดว่ากำไรน่าจะดีขึ้นมาก
สาเหตุที่ทำให้กำไรในปี 65 ลดลง
มาจาก 1. ค่าเงิน ที่มีความผันผวนมาในปีที่ผ่านมา ขณะเดียวกันบริษัทไม่สามารถปรับราคาขายได้ตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้น และการขายในประเทศแม้จะเติบโตดี แต่เงินบาทก็อ่อนค่า
2.ต้นทุนเพิ่มขึ้น จากค่าแรงที่แพงขึ้น เพราะหาช่างได้ยากขึ้น ค่าเคมีภัณฑ์ที่ปรับเพิ่มขึ้นจากสาเหตุของสงครามรัสเซียและยูเครน และค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงมากในช่วงที่ผ่านมา
3.ค่าไฟที่ปรับขึ้น ทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นประมาณ 2% ซึ่งในเรื่องราคาค่าไฟฟ้า บริษัทอยู่ในช่วงของการติดโซลาร์เซลล์เพื่อใช้ในโรงงานทุกแห่ง แม้การติดตั้งจะต้องใช้เงินทุน ซึ่งคาดว่าอยู่ที่ประมาณ 100 ล้านบาท แต่บริษัทอยู่ระหว่างการขอสิทธิพิเศษทางภาษีจากบีโอไอ ซึ่งจะทำให้ได้รับเครดิตคืนภาษี และลดภาระต้นทุนได้ในระดับหนึ่ง
การลงทุนปี 66 ใช้เงินเท่าไร
ตัวผลิตภัณฑ์หนังไม่ได้ลงทุนเพิ่ม แต่จะลงทุนในธุรกิจใหม่ ทั้งคอลลาเจนและเจลลาติน ซึ่งหากลูกค้าให้การตอบรับดี ก็จะขึ้นโรงงานใหม่ น่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 100-200 ล้านบาท โดยระยะเวลาในการสร้างโรงงานประมาณ 9 เดือน หลังจากนั้นก็รับรู้รายได้ ได้ทันที
ปัจจัยบวกและปัจจัยลบปีนี้
การเปิดประเทศในช่วงที่ผ่านมา ทำให้มีนักท่องเที่ยวเข้ามามากขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในประเทศให้ปรับตัวดีขึ้น คนมีกำลังซื้อมากขึ้น ลูกค้าเปลี่ยนรถง่ายขึ้น และทำให้รถยนต์ขายได้มากขึ้น
ส่วนปัจจัยกดดันปีนี้ น่าจะมาจากเรื่องค่าแรงที่ปรับจะเพิ่มขึ้นจากการหาเสียงของพรรคการเมืองต่างๆ และค่าไฟที่เพิ่มขึ้น ทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น ซึ่งการปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำขึ้นมาก ทำให้ผู้ประกอบการหันไปใช้เทคโนโลยีในการผลิตแทน เนื่องจากมีความคุ้มค่าการลงทุน และยังทำให้ราคาสินค้าปรับเพิ่มขึ้นตามต้นทุนค่าแรงที่เพิ่มขึ้น
เป้าหมายปี 66
ปีนี้ยอดขายน่าจะเติบโตได้ 10-15% แต่จะเน้นการทำกำไร โดยดึงมาร์จิ้นไปอยู่ที่ 18-20% เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วที่อยู่ที่ 15% และปัจจุบันยอดขายกลับไปเท่ากับช่วงก่อนเกิดโควิดที่ 2,000 ล้านบาท ซึ่งจะได้กำไรประมาณ 180-220 ล้านบาท
ธุรกิจเด่นของเราในปี 66
หลายธุรกิจมีความโดดเด่นมากขึ้น โดยธุรกิจรถยนต์ปีนี้จะน่าจะเติบโตได้ดีขึ้น ตลาดรถยนต์มีเสถียรภาพ ส่วนธุรกิจผลิตรองเท้า น่าจะหวือหวาช่วงครึ่งปีหลัง คิดว่าหลังไตรมาส 3-4 ยอดเพิ่มขึ้นมาก ซึ่งเป็นไปตามฤดูกาลของสินค้า ส่วนธุรกิจผลิตเฟอร์นิเจอร์ ยอดขายน่าจะทรงตัวใกล้เคียงปีก่อน ส่วนสินค้าอื่นก็ค่อนข้างทรงตัวส่วนธุรกิจขนมขบเคี้ยวสุนัข ภายใต้แบรนด์ "MOMO & FRIENDS" ปีนี้จะขยายตลาดมากขึ้น เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย ทำให้คนรู้จักสินค้ามากขึ้น
สัดส่วนรายได้
รายได้ปัจจุบัน 2,000 ล้าน มาจากรถยนต์ 65% รองเท้า 10% รับจ้างผลิต 15% อื่น 10% เราอยากให้ในอนาคต รถยนต์ อยู่ที่ 60% รองเท้า 15% รับจ้างผลิต 15% อื่น 10% ปีนี้น่าจะปรับได้ประมาณนี้ ซึ่งมาร์จิ้นอยู่ที่ 18-20% กลับเข้าสู่ภาวะปกติของบริษัท
ด้านการลงทุน
มีบริษัทลูก ถึงจุดหนึ่งจะนำเข้าตลาด ซึ่งถ้าได้เปิดโรงงาน คิดว่าภายใน 2 ปี ยอดขายจะถึงจุดที่สามารถเข้าจดทะเบียนได้
การร่วมทุนกับคนอื่น
เราไม่ได้บอกว่าไม่ แต่ยังไม่มีคนที่ใช่ในขณะนี้ และแม้ไม่มีพันธมิตร บริษัทก็ไม่มีปัญหาในเรื่องการระดมทุน
หุ้นมี Story
หลักคือบริษัทลูก ซึ่งวันใดที่บริษัทลูกเข้าตลาด เราจะให้สิทธิ์กับคนที่ถือหุ้น IHL ก่อน เพื่อตอบแทนผู้ถือหุ้น และหุ้น IHL ก็เป็นหุ้นปันผล ปีที่แล้ว ปันผลน้อยแต่เมื่อผลงานเป็นปกติ ก็จะปันผลเหมือนเดิมไม่ต่ำกว่า 40%
ไตรมาสแรกที่ผ่านมาเป็นอย่างไร
แนวโน้มดี เดินทางบ่อยมากทุกเดือน เพื่อคุยกับลูกค้า คิดว่าปีนี้ยอดขาย เกิน 2,000 ล้านบาท แต่กำไรดีขึ้นมาก ส่วนเดือน1-2 เดือนที่ผ่านมา กำไรยังไม่ดีมาก จากค่าเงินและค่าไฟฟ้าที่ปรับขึ้น และเมื่อทุกอย่างลงตัวแล้ว คิดว่ากำไรน่าจะดีขึ้นมาก