Mr.Data
กรณีคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) มีมติเห็นชอบรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนเพิ่ม 3,668.5 เมกะวัตต์ และคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เปิด HEARING ก่อนเคาะค่า FT งวด (พ.ค. - ส.ค. 66)
บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) มองว่า การเพิ่มการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานสะอาดเป็น SENTIMENT เชิงบวกกลับกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP และ VSPP โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าขนาดเล็กที่เน้นการลงทุนพลังงานสะอาดในประเทศ
ทั้งนี้ เนื่องจากมีหลายบริษัทลงทุนใน SOLAR FARM อาจส่งผลให้หลายบริษัทตัดราคาค่าไฟ เพื่อเข้ารอบ
ในขณะที่ WIND FARM ที่มีผู้เล่นน้อยจะได้รับผลประโยชน์มากกว่า โดย TOP PICK โรงไฟฟ้าขนาดเล็กได้แก่ DEMCO, EP, ETC โรงไฟฟ้าขนาดกลางได้แก่ BCPG, SPCG, SSP โรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ได้แก่ EA, EGCO, GUNKUL
![ส่องหุ้นไซส์เล็ก 170223.jpg](https://www.share2trade.com/storage/Coloum/Smart%20Investment/2023/March/%E0%B8%AA%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%8B%E0%B8%AA%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%81%20170223.jpg)
“เรามีมุมมองเป็นบวกเล็กน้อยกับการ HEARING เกี่ยวกับค่า FT ของ กกพ. ในงวดนี้ โดยโรงไฟฟ้า SPP จะได้รับผลประโยชน์มากที่สุดในถ้ากรณีที่ 1 ถูกบังคับใช้ ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นของค่า FT อีก 139.58 สตางค์ต่อหน่วย (ค่า FT งวด ม.ค. - เม.ย. 2566 อยู่ที่ 154.02 สตางค์ต่อหน่วย)
ทั้งนี้กรณีที่ 2 และ 3 ถูกบังคับใช้เรามองว่าโรงไฟฟ้า SPP ก็จะได้รับประโยน์น้อยลงอย่างไรก็ตามค่า FT ในกรณี 2 และ 3 ก็ยังมากกว่าค่า FT ในงวดเดียวกันปีที่แล้วที่อยู่ที่ 24.77 สตางค์ต่อหน่วย
เราแนะนำให้ "ซื้อ" GPSC ที่ราคาพื้นฐาน 75 บาท และ "ซื้อ" BGRIM ที่ราคาพื้นฐาน 44 บาท โดย GPSC และ BGRIM ได้รับประโยชน์จากการคง/ขึ้นค่า FT ในงวด พ.ค. - ส.ค. 2566 ในขณะที่ต้นทุนพลังงาน (LNG) ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง
นายยุทธ ชินสุภัคกุล ประธานกรรมการ บริษัท อีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (EP) กล่าวว่า บริษัทฯตั้งเป้าหมายจะยื่นขอเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินให้กับกกพ. ในโครงการจัดหาไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed-in Tariff ปี 2565-2573 สำหรับกลุ่มไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิง พ.ศ.2565 ทั้งในส่วนที่ประกาศรับซื้ออยู่ และส่วนที่จะรับซื้อเพิ่มเติม ขนาดกำลังผลิตที่จะยื่นขอรวมทั้งสิ้น 100 เมกะวัตต์
โดยในรอบแรกสามารถผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติทางเทคนิคขั้นต่ำไปแล้วครบทั้ง 8 โครงการ มีขนาดกำลังผลิตรวม 61.625 เมกะวัตต์ ซึ่งจะมีการประกาศผลคัดเลือกอย่างเป็นทางการภายในเดือนเมษายน 2566 ขณะที่ในส่วนการรับซื้อปริมาณเพิ่มเติม บริษัทฯ อยู่ระหว่างรอประกาศจากทาง กกพ.เพื่อเปิดให้ยื่นขออีกครั้ง
ทั้งนี้ บริษัทย่อยของบริษัทฯ ที่ได้รับการคัดเลือกและผ่านคุณสมบัติทางด้านเทคนิคขึ้นต่ำ ในการจำหน่ายพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน (โซลาร์ฟาร์ม) ให้กับ กกพ. จำนวน 8 โครงการ กำลังการผลิตรวม 61.625 เมกะวัตต์ แบ่งเป็น บริษัท เอ็ปโก้ กรีน พาวเวอร์ พลัส จำกัด 4 โครงการ และบริษัท อีเทอร์นิตี้ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) 4 โครงการ
"บริษัทฯ มีความมั่นใจว่าจะสามารถผ่านการคัดเลือกในครั้งนี้ เนื่องจาก EP ถือเป็นบริษัทฯ ที่มีความเชี่ยวชาญ และจากประสบการณ์ที่ผ่านมาก็สะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จในการเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายที่มีคุณภาพได้เป็นอย่างดี และที่สำคัญกลุ่มบริษัทมีฐานเงินทุนที่แข็งแกร่ง โดยได้มีการเตรียมความพร้อมรองรับการลงทุนดังกล่าวไว้เรียบร้อยแล้ว ซึ่งจะสามารถดำเนินงานตามแผนงานที่เสนอได้ทุกโครงการ" นายยุทธกล่าว
นายวรุตม์ ธรรมาวรานุคุปต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เสริมสร้าง พาวเวอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (SSP) กล่าวว่า บริษัทฯ ได้มีการเข้าร่วมการยื่นคำเสนอขายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ FiT ในประเทศไทย ซึ่งจะมีความชัดเจนในเดือน มี.ค.66 การลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ LEO 2 ในประเทศญี่ปุ่น สัญญาซื้อขายไฟฟ้า 17 เมกะวัตต์ ซึ่งคาดว่ามีความพร้อมที่จะจ่ายไฟเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD) ไตรมาส 4/67 การลงทุนเพิ่มเติมในโรงไฟฟ้าพลังงานลมในประเทศเวียดนาม ซึ่งจะสนับสนุนให้มีกำลังการผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเท่าตัวทะลุ 500 เมกะวัตต์ในปี 68 จากปัจจุบันกำลังการผลิตอยู่ที่ 236 เมกะวัตต์
นอกจากนี้ ช่วงปลายปีที่ผ่านมาได้จัดตั้งบริษัทลงทุน Sermsang Next Ventures เพื่อลุยธุรกิจใหม่ โดยเข้าไปลงทุนในธุรกิจที่มีโอกาสในการเติบโต และสอดคล้องกับสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล สร้าง New S-curve สนับสนุนผลงานในอนาคตให้เติบโตก้าวแบบกระโดด
ขณะที่บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด มองว่า ราคาหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP ได้มีการปรับตัวลงมาราว 7-8% ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา จาก US Bond Yield ระยะ 10 ปีที่ปรับตัวสูงขึ้นและความกังวลเกี่ยวกับการปรับค่า Ft ลง
โดยราคาปัจจุบันมองว่าราคาหุ้นมี Downside จำกัดแล้ว และมีโอกาสฟื้นตัวได้หลังค่า Ft มีโอกาสปรับลงน้อยกว่ากระแสข่าวที่ออกมาก่อนหน้า คงคำแนะนำ “ซื้อ” สำหรับ GPSC (TP@82.00) และ BGRIM (TP@50.00)
นอกจากนี้ GULF (TP@62.25) เป็นอีกหนึ่งบริษัทที่ได้รับอานิสงส์จากการที่ค่า Ft มีแนวโน้มปรับตัวลงช้ากว่าต้นทุนก๊าซธรรมชาติ
กรณี กกพ. มีการจัดทำ Public Hearing สำหรับการปรับค่า Ft งวดเดือน พ.ค. - ส.ค. 2566 โดยค่า Ft กลุ่มที่อยู่อาศัยและกลุ่มผู้ใช้งานภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมจะกลับมาอยู่ในอัตราเดียวกันอีกครั้ง โดยจัดทำ 3 กรณีศึกษา สำหรับการปรับค่า Ft ของกลุ่มผู้ใช้งานภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม โดยมีกรณีสูงสุดคือการปรับค่า Ft ขึ้น +138.68 สตางค์/หน่วย และมีกรณีต่ำสุด คือการปรับค่า Ft ลง -56.65 สตางค์/หน่วย โดยเบื้องต้นคาด กกพ. จะปรับลงตามกรณีต่ำสุด
“ฝ่ายวิจัยประเมินคาดการปรับค่า Ft ลงจะส่งผลกระทบจำกัดต่อการฟื้นตัวของกำไรกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP เพราะต้นทุนก๊าซธรรมชาติมีแนวโน้มปรับตัวลงเช่นกัน (ลดลงตามปัจจัยฤดูกาลและความกังวลเกี่ยวกับ Recession) เบื้องต้นคาดกำไรปกติของกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP จะสามารถเติบโตเด่น YoY จาก 1) ค่า Ft ที่สูงขึ้นราว +73.50 สตางค์/หน่วย YoY (อิงการปรับค่า Ft กรณีต่ำสุด) และ 2) คาดต้นทุนก๊าซธรรมชาติลดลง YoY”
ในวิกฤติถือเป็นโอกาส...สำหรับนักลงทุนที่มองหาโอกาสการลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดี ในยุคที่ตลาดหุ้นมีความผันผวนจากวิกฤติการเงินในสหรัฐและยุโรป เพียงแค่หาให้เจอและอยู่ในนานเท่านั้น!
กรณีคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) มีมติเห็นชอบรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนเพิ่ม 3,668.5 เมกะวัตต์ และคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เปิด HEARING ก่อนเคาะค่า FT งวด (พ.ค. - ส.ค. 66)
บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) มองว่า การเพิ่มการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานสะอาดเป็น SENTIMENT เชิงบวกกลับกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP และ VSPP โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าขนาดเล็กที่เน้นการลงทุนพลังงานสะอาดในประเทศ
ทั้งนี้ เนื่องจากมีหลายบริษัทลงทุนใน SOLAR FARM อาจส่งผลให้หลายบริษัทตัดราคาค่าไฟ เพื่อเข้ารอบ
ในขณะที่ WIND FARM ที่มีผู้เล่นน้อยจะได้รับผลประโยชน์มากกว่า โดย TOP PICK โรงไฟฟ้าขนาดเล็กได้แก่ DEMCO, EP, ETC โรงไฟฟ้าขนาดกลางได้แก่ BCPG, SPCG, SSP โรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ได้แก่ EA, EGCO, GUNKUL
![ส่องหุ้นไซส์เล็ก 170223.jpg](https://www.share2trade.com/storage/Coloum/Smart%20Investment/2023/March/%E0%B8%AA%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%8B%E0%B8%AA%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%81%20170223.jpg)
“เรามีมุมมองเป็นบวกเล็กน้อยกับการ HEARING เกี่ยวกับค่า FT ของ กกพ. ในงวดนี้ โดยโรงไฟฟ้า SPP จะได้รับผลประโยชน์มากที่สุดในถ้ากรณีที่ 1 ถูกบังคับใช้ ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นของค่า FT อีก 139.58 สตางค์ต่อหน่วย (ค่า FT งวด ม.ค. - เม.ย. 2566 อยู่ที่ 154.02 สตางค์ต่อหน่วย)
ทั้งนี้กรณีที่ 2 และ 3 ถูกบังคับใช้เรามองว่าโรงไฟฟ้า SPP ก็จะได้รับประโยน์น้อยลงอย่างไรก็ตามค่า FT ในกรณี 2 และ 3 ก็ยังมากกว่าค่า FT ในงวดเดียวกันปีที่แล้วที่อยู่ที่ 24.77 สตางค์ต่อหน่วย
เราแนะนำให้ "ซื้อ" GPSC ที่ราคาพื้นฐาน 75 บาท และ "ซื้อ" BGRIM ที่ราคาพื้นฐาน 44 บาท โดย GPSC และ BGRIM ได้รับประโยชน์จากการคง/ขึ้นค่า FT ในงวด พ.ค. - ส.ค. 2566 ในขณะที่ต้นทุนพลังงาน (LNG) ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง
นายยุทธ ชินสุภัคกุล ประธานกรรมการ บริษัท อีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (EP) กล่าวว่า บริษัทฯตั้งเป้าหมายจะยื่นขอเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินให้กับกกพ. ในโครงการจัดหาไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed-in Tariff ปี 2565-2573 สำหรับกลุ่มไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิง พ.ศ.2565 ทั้งในส่วนที่ประกาศรับซื้ออยู่ และส่วนที่จะรับซื้อเพิ่มเติม ขนาดกำลังผลิตที่จะยื่นขอรวมทั้งสิ้น 100 เมกะวัตต์
โดยในรอบแรกสามารถผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติทางเทคนิคขั้นต่ำไปแล้วครบทั้ง 8 โครงการ มีขนาดกำลังผลิตรวม 61.625 เมกะวัตต์ ซึ่งจะมีการประกาศผลคัดเลือกอย่างเป็นทางการภายในเดือนเมษายน 2566 ขณะที่ในส่วนการรับซื้อปริมาณเพิ่มเติม บริษัทฯ อยู่ระหว่างรอประกาศจากทาง กกพ.เพื่อเปิดให้ยื่นขออีกครั้ง
ทั้งนี้ บริษัทย่อยของบริษัทฯ ที่ได้รับการคัดเลือกและผ่านคุณสมบัติทางด้านเทคนิคขึ้นต่ำ ในการจำหน่ายพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน (โซลาร์ฟาร์ม) ให้กับ กกพ. จำนวน 8 โครงการ กำลังการผลิตรวม 61.625 เมกะวัตต์ แบ่งเป็น บริษัท เอ็ปโก้ กรีน พาวเวอร์ พลัส จำกัด 4 โครงการ และบริษัท อีเทอร์นิตี้ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) 4 โครงการ
"บริษัทฯ มีความมั่นใจว่าจะสามารถผ่านการคัดเลือกในครั้งนี้ เนื่องจาก EP ถือเป็นบริษัทฯ ที่มีความเชี่ยวชาญ และจากประสบการณ์ที่ผ่านมาก็สะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จในการเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายที่มีคุณภาพได้เป็นอย่างดี และที่สำคัญกลุ่มบริษัทมีฐานเงินทุนที่แข็งแกร่ง โดยได้มีการเตรียมความพร้อมรองรับการลงทุนดังกล่าวไว้เรียบร้อยแล้ว ซึ่งจะสามารถดำเนินงานตามแผนงานที่เสนอได้ทุกโครงการ" นายยุทธกล่าว
นายวรุตม์ ธรรมาวรานุคุปต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เสริมสร้าง พาวเวอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (SSP) กล่าวว่า บริษัทฯ ได้มีการเข้าร่วมการยื่นคำเสนอขายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ FiT ในประเทศไทย ซึ่งจะมีความชัดเจนในเดือน มี.ค.66 การลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ LEO 2 ในประเทศญี่ปุ่น สัญญาซื้อขายไฟฟ้า 17 เมกะวัตต์ ซึ่งคาดว่ามีความพร้อมที่จะจ่ายไฟเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD) ไตรมาส 4/67 การลงทุนเพิ่มเติมในโรงไฟฟ้าพลังงานลมในประเทศเวียดนาม ซึ่งจะสนับสนุนให้มีกำลังการผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเท่าตัวทะลุ 500 เมกะวัตต์ในปี 68 จากปัจจุบันกำลังการผลิตอยู่ที่ 236 เมกะวัตต์
นอกจากนี้ ช่วงปลายปีที่ผ่านมาได้จัดตั้งบริษัทลงทุน Sermsang Next Ventures เพื่อลุยธุรกิจใหม่ โดยเข้าไปลงทุนในธุรกิจที่มีโอกาสในการเติบโต และสอดคล้องกับสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล สร้าง New S-curve สนับสนุนผลงานในอนาคตให้เติบโตก้าวแบบกระโดด
ขณะที่บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด มองว่า ราคาหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP ได้มีการปรับตัวลงมาราว 7-8% ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา จาก US Bond Yield ระยะ 10 ปีที่ปรับตัวสูงขึ้นและความกังวลเกี่ยวกับการปรับค่า Ft ลง
โดยราคาปัจจุบันมองว่าราคาหุ้นมี Downside จำกัดแล้ว และมีโอกาสฟื้นตัวได้หลังค่า Ft มีโอกาสปรับลงน้อยกว่ากระแสข่าวที่ออกมาก่อนหน้า คงคำแนะนำ “ซื้อ” สำหรับ GPSC (TP@82.00) และ BGRIM (TP@50.00)
นอกจากนี้ GULF (TP@62.25) เป็นอีกหนึ่งบริษัทที่ได้รับอานิสงส์จากการที่ค่า Ft มีแนวโน้มปรับตัวลงช้ากว่าต้นทุนก๊าซธรรมชาติ
กรณี กกพ. มีการจัดทำ Public Hearing สำหรับการปรับค่า Ft งวดเดือน พ.ค. - ส.ค. 2566 โดยค่า Ft กลุ่มที่อยู่อาศัยและกลุ่มผู้ใช้งานภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมจะกลับมาอยู่ในอัตราเดียวกันอีกครั้ง โดยจัดทำ 3 กรณีศึกษา สำหรับการปรับค่า Ft ของกลุ่มผู้ใช้งานภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม โดยมีกรณีสูงสุดคือการปรับค่า Ft ขึ้น +138.68 สตางค์/หน่วย และมีกรณีต่ำสุด คือการปรับค่า Ft ลง -56.65 สตางค์/หน่วย โดยเบื้องต้นคาด กกพ. จะปรับลงตามกรณีต่ำสุด
“ฝ่ายวิจัยประเมินคาดการปรับค่า Ft ลงจะส่งผลกระทบจำกัดต่อการฟื้นตัวของกำไรกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP เพราะต้นทุนก๊าซธรรมชาติมีแนวโน้มปรับตัวลงเช่นกัน (ลดลงตามปัจจัยฤดูกาลและความกังวลเกี่ยวกับ Recession) เบื้องต้นคาดกำไรปกติของกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP จะสามารถเติบโตเด่น YoY จาก 1) ค่า Ft ที่สูงขึ้นราว +73.50 สตางค์/หน่วย YoY (อิงการปรับค่า Ft กรณีต่ำสุด) และ 2) คาดต้นทุนก๊าซธรรมชาติลดลง YoY”
ในวิกฤติถือเป็นโอกาส...สำหรับนักลงทุนที่มองหาโอกาสการลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดี ในยุคที่ตลาดหุ้นมีความผันผวนจากวิกฤติการเงินในสหรัฐและยุโรป เพียงแค่หาให้เจอและอยู่ในนานเท่านั้น!