สมาพันธ์ธุรกิจญี่ปุ่น หรือ เคดันเร็น ยกทัพนักธุรกิจยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่น มาตกลงความร่วมมือในการค้าและการลงทุนกับเอกชนไทย ตอกย้ำความมั่นใจและความเชื่อมั่น เน้น BCG และ Low Carbon Society โดยญี่ปุ่นยังให้ความสำคัญกับประเทศไทยในการเป็นฐานการผลิตในอาเซียน และมีแผนที่จะย้ายฐานการผลิตจากจีนมาไทยเพิ่มขึ้น
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถานบัน หรือ กกร. เปิดเผยว่า การจัดประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้าและเศรษฐกิจ ไทย – ญี่ปุ่น (Thai-Japan Joint Trade and Economic Committee 2023) ในครั้งนี้ เป็นความร่วมมือระหว่างคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) อันประกอบด้วย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และ สมาคมธนาคารไทย (กกร.) ร่วมกับ สมาพันธ์ธุรกิจญี่ปุ่น หรือ เคดันเร็น ซึ่งเป็นองค์กรภาคเอกชนขนาดใหญ่ของญี่ปุ่น
โดยทั้ง กกร. และ เคดันเร็น ได้มีความร่วมมือที่ใกล้ชิดกันมาเป็นระยะเวลานาน ทั้งนี้ เคดันเร็น ได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อส่งเสริมความร่วมมือของภาคเอกชนไทย-ญี่ปุ่น โดยมีบริษัทขนาดใหญ่ของญี่ปุ่นเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก และในการประชุมระหว่างภาคเอกชนของทั้งสองฝ่ายในครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสอันดียิ่งที่จะได้แลกเปลี่ยนความรู้ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ ที่ทั้งสองฝ่ายสนใจร่วมกัน นอกจากนี้ ผู้แทนฝ่ายไทยและญี่ปุ่นได้เห็นชอบลงนาม MOU ระหว่างกัน ซึ่งจะส่งเสริมความร่วมมือให้มีความใกล้ชิดกันมากขึ้น รวมถึงผลักดันประเด็นที่ทั้งสองฝ่ายให้ความสำคัญต่อไป
นายสาโรช ชยาวิวัฒน์กุล รองประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า การจัดประชุมร่วมทางการค้าฯ ไทย - ญี่ปุ่น ถือเป็นโอกาสที่ดีในการพบปะผู้แทนระดับสูงระหว่างสองประเทศ กว่า 120 คน นอกจากนี้ ยังได้รับเกียรติจาก Mr.Kazuya Nashida เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย นายเมธี สุภาพงษ์ รองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ในการบรรยายและให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อผู้เข้าร่วมประชุม อีกด้วย และการลงนามความร่วมมือฯ จะเป็นโอกาสที่ภาคเอกชนทั้งสองประเทศ จะได้มีการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกันมากขึ้น โดยวันนี้มีหัวในการหารือ ประกอบด้วย ส่วนที่ 1. หัวข้อ “สภาพแวดล้อมทางธุรกิจ และแนวโน้มการลงทุนของไทยและญี่ปุ่น” ส่วนที่ 2. หัวข้อ “มุมมองที่สำคัญของความร่วมมือทางธุรกิจระหว่างไทยและญี่ปุ่น” และส่วนที่ 3. หัวข้อ “การส่งเสริมการค้าการลงทุนทวิภาคีระหว่างไทยและญี่ปุ่น”
นายกอบศักดิ์ ดวงดี เลขาธิการสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า การจัดงานในครั้งนี้ ได้มีผู้ทรงคุณวุฒิจากทั้งสองประเทศ ร่วมให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์และนำไปสู่การหารือเชิงลึก โดยมีประเด็นที่ที่มีความสนใจร่วมกัน เป็นหัวข้อที่สะท้อนถึงมุมมองที่กว้างขวางและหลากหลายของพัฒนาการทางด้านเศรษฐกิจในยุคปัจจุบันของทั้งสองประเทศ อันได้แก่ เศรษฐกิจ BCG, การบริหารจัดการพลังงานสะอาด, การลงทุนด้าน EV, การบริหารจัดการด้าน Logistics ร่วมทั้ง การขยายการผลิตในไทย เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังมีการบรรยายพิเศษ เรื่อง “Improving Efficiency on International Trade between Japan and Thailand through Digitalization” ซึ่งระบบการค้าดิจิทัลได้พัฒนาขึ้นมากภายหลัง COVID-19 ซึ่งประเทศไทยจำเป็นจะต้องพัฒนาความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจโดยอาศัยระบบดิจิทัล เพื่อเป็นกลไกสำคัญสาหรับการเติบโตในอนาคต
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถานบัน หรือ กกร. เปิดเผยว่า การจัดประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้าและเศรษฐกิจ ไทย – ญี่ปุ่น (Thai-Japan Joint Trade and Economic Committee 2023) ในครั้งนี้ เป็นความร่วมมือระหว่างคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) อันประกอบด้วย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และ สมาคมธนาคารไทย (กกร.) ร่วมกับ สมาพันธ์ธุรกิจญี่ปุ่น หรือ เคดันเร็น ซึ่งเป็นองค์กรภาคเอกชนขนาดใหญ่ของญี่ปุ่น
โดยทั้ง กกร. และ เคดันเร็น ได้มีความร่วมมือที่ใกล้ชิดกันมาเป็นระยะเวลานาน ทั้งนี้ เคดันเร็น ได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อส่งเสริมความร่วมมือของภาคเอกชนไทย-ญี่ปุ่น โดยมีบริษัทขนาดใหญ่ของญี่ปุ่นเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก และในการประชุมระหว่างภาคเอกชนของทั้งสองฝ่ายในครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสอันดียิ่งที่จะได้แลกเปลี่ยนความรู้ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ ที่ทั้งสองฝ่ายสนใจร่วมกัน นอกจากนี้ ผู้แทนฝ่ายไทยและญี่ปุ่นได้เห็นชอบลงนาม MOU ระหว่างกัน ซึ่งจะส่งเสริมความร่วมมือให้มีความใกล้ชิดกันมากขึ้น รวมถึงผลักดันประเด็นที่ทั้งสองฝ่ายให้ความสำคัญต่อไป
นายสาโรช ชยาวิวัฒน์กุล รองประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า การจัดประชุมร่วมทางการค้าฯ ไทย - ญี่ปุ่น ถือเป็นโอกาสที่ดีในการพบปะผู้แทนระดับสูงระหว่างสองประเทศ กว่า 120 คน นอกจากนี้ ยังได้รับเกียรติจาก Mr.Kazuya Nashida เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย นายเมธี สุภาพงษ์ รองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ในการบรรยายและให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อผู้เข้าร่วมประชุม อีกด้วย และการลงนามความร่วมมือฯ จะเป็นโอกาสที่ภาคเอกชนทั้งสองประเทศ จะได้มีการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกันมากขึ้น โดยวันนี้มีหัวในการหารือ ประกอบด้วย ส่วนที่ 1. หัวข้อ “สภาพแวดล้อมทางธุรกิจ และแนวโน้มการลงทุนของไทยและญี่ปุ่น” ส่วนที่ 2. หัวข้อ “มุมมองที่สำคัญของความร่วมมือทางธุรกิจระหว่างไทยและญี่ปุ่น” และส่วนที่ 3. หัวข้อ “การส่งเสริมการค้าการลงทุนทวิภาคีระหว่างไทยและญี่ปุ่น”
นายกอบศักดิ์ ดวงดี เลขาธิการสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า การจัดงานในครั้งนี้ ได้มีผู้ทรงคุณวุฒิจากทั้งสองประเทศ ร่วมให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์และนำไปสู่การหารือเชิงลึก โดยมีประเด็นที่ที่มีความสนใจร่วมกัน เป็นหัวข้อที่สะท้อนถึงมุมมองที่กว้างขวางและหลากหลายของพัฒนาการทางด้านเศรษฐกิจในยุคปัจจุบันของทั้งสองประเทศ อันได้แก่ เศรษฐกิจ BCG, การบริหารจัดการพลังงานสะอาด, การลงทุนด้าน EV, การบริหารจัดการด้าน Logistics ร่วมทั้ง การขยายการผลิตในไทย เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังมีการบรรยายพิเศษ เรื่อง “Improving Efficiency on International Trade between Japan and Thailand through Digitalization” ซึ่งระบบการค้าดิจิทัลได้พัฒนาขึ้นมากภายหลัง COVID-19 ซึ่งประเทศไทยจำเป็นจะต้องพัฒนาความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจโดยอาศัยระบบดิจิทัล เพื่อเป็นกลไกสำคัญสาหรับการเติบโตในอนาคต