จับประเด็นหุ้นเด่น
รายงานพิเศษ : สังคมผู้สูงอายุ หนุนตลาด “ผลิตภัณฑ์ยาและอุปกรณ์การแพทย์”
22 มีนาคม 2566
การก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุของไทย กระตุ้นการเติบโตของผลิตภัณฑ์ยาและอุปกรณ์การแพทย์ รวมทั้งธุรกิจบริษัท เฮลท์ลีด (HL) ที่ลงทุนในธุรกิจร้านขายยา จำหน่ายยา เวชภัณฑ์ เวชสำอาง ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร อุปกรณ์การแพทย์ และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพต่างๆ
แนวโน้มธุรกิจร้านขายยาก่อนโควิด ปี 2562 มีมูลค่า 35,000 ล้านบาท เติบโตเฉลี่ย 7% แต่มูลค่าตลาดที่เกี่ยวกับเทรนด์สุขภาพเติบโตอย่างมากหลังโควิด เชื่อว่าจะยังเติบโตต่อเนื่องเฉลี่ยปีละ 13-17% ในปี 2565 ร้านขายยามีมูลค่าราว 40,000 ล้านบาท เพราะคนไทยให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพเพิ่มขึ้น
ปี 2565 ตลาดยามีมูลค่า 188,000 ล้านบาท แบ่งเป็นยาในโรงพยาบาลรัฐและเอกชน 148,500 ล้านบาท และตลาดร้านขายยา 40,000 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีตลาดวิตามินและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอีก 70,000 ล้านบาท
“ธัชพล ชลวัฒนสกุล” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เฮลท์ลีด หรือ HL ที่ประกอบธุรกิจโดยการลงทุนในบริษัทอื่น (Holding Company) โดยปัจจุบันลงทุนในธุรกิจร้านขายยา จำหน่ายยา เวชภัณฑ์ เวชสำอาง ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร อุปกรณ์การแพทย์ และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพต่างๆ และธุรกิจคิดค้น และพัฒนาร่วมกับทีมวิจัยภายนอก รวมทั้งว่าจ้างผู้ผลิต เพื่อจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมเพื่อสุขภาพ เช่น ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อ ผลิตภัณฑ์สลายกลิ่น และผลิตภัณฑ์หน้ากาก เป็นต้น
เปิดเผยว่า เมืองไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ซึ่งส่งผลทำให้ “ผลิตภัณฑ์ยาและอุปกรณ์การแพทย์” เป็นที่ต้องการมากขึ้น ประกอบกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้เกิดเทรนด์รักสุขภาพมากยิ่งขึ้น ทำให้ผู้บริโภคหันมาสนใจดูแลตัวเอง ผลักดันธุรกิจอาหารเสริม-วิตามินเติบโต
โดยมูลค่าตลาดยาในประเทศไทยจากปี 2563 อยู่ที่ประมาณ 1.8 แสนล้านบาท แบ่งสัดส่วนเป็นโรงพยาบาลภาครัฐ 60% โรงพยาบาลภาคเอกชน 20% และร้านขายยาอีก 20% หากคิดเป็นมูลค่าเฉพาะยาและเวชภัณฑ์ที่จำหน่ายผ่านร้านขายยา คิดเป็น 3.5 หมื่นล้านบาท และมีทิศทางการเติบโตขึ้นทุกๆ ปี และในปัจจุบันคาดว่ามูลค่าตลาดแตะ2 แสนล้านบาท เฉลี่ยเติบโตปีละ 3-5% ทุกปี รวมทั้งบริษัทมีแพลตฟอร์มให้คำปรึกษาออนไลน์ที่ดำเนินการอยู่ด้วย
ส่วนผลประกอบการปี 2566 ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร HL กล่าวว่า บริษัทฯตั้งเป้ารายได้เติบโตมากกว่า 20% จากปีก่อน โดยบริษัทฯมีแผนเปิดสาขาใหม่อีก 14 แห่ง ซึ่งเน้นในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลทำให้ภายในสิ้นปีนี้จะมีสาขารวมทั้งสิ้น 50 สาขา จากปีก่อนที่มีสาขารวม 36 สาขา โดยแต่ละสาขาจะมีขนาดพื้นที่แตกต่างกัน โดยพื้นที่ประมาณ 70-80 ตารางเมตร คาดว่าจะใช้งบลงทุนราว 2 ล้านบาทต่อสาขา ขนาด 80-150 ตารางเมตร จะใช้งบลงทุน 2-3.5 ล้านบาทต่อสาขา และขนาด 150-300 ตารางเมตร ใช้งบลงทุน 3.5-6 ล้านบาทต่อสาขา
สำหรับในไตรมาส 1/2566 บริษัทฯได้เตรียมเปิดสาขาใหม่เพิ่ม 4-5 สาขา ภายใต้แบรนด์ร้านขายยาiCareและPharmaxเป็นหลัก รวมถึงจะมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์นวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง ภายใต้บริษัท เฮลทิเนส จำกัด ที่HLถือหุ้นในสัดส่วน 100% โดยในปี 2566 จะเห็นการขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์นวัตกรรมใหม่ และเตรียมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่อีกประมาณ 5-10 รายการ
ดังนั้นแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/2566 น่าจะออกมาดีมากเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2565 เนื่องจากปัจจุบันยอดขายสาขาเดิมเติบโตเป็นตัวเลข 2 หลักต่อเนื่องมาตั้งแต่ไตรมาส 3 ปีก่อน และไตรมาสนี้ยังได้รับอานิสงส์จากโครงการ ช้อปดีมีคืน ซึ่งสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ ขณะที่การท่องเที่ยวจีนที่เริ่มกลับมาฟื้นตัวอย่างชัดเจน ทำให้มีการปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก ช่วยผลักดันยอดขาย
แนวโน้มธุรกิจร้านขายยาก่อนโควิด ปี 2562 มีมูลค่า 35,000 ล้านบาท เติบโตเฉลี่ย 7% แต่มูลค่าตลาดที่เกี่ยวกับเทรนด์สุขภาพเติบโตอย่างมากหลังโควิด เชื่อว่าจะยังเติบโตต่อเนื่องเฉลี่ยปีละ 13-17% ในปี 2565 ร้านขายยามีมูลค่าราว 40,000 ล้านบาท เพราะคนไทยให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพเพิ่มขึ้น
ปี 2565 ตลาดยามีมูลค่า 188,000 ล้านบาท แบ่งเป็นยาในโรงพยาบาลรัฐและเอกชน 148,500 ล้านบาท และตลาดร้านขายยา 40,000 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีตลาดวิตามินและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอีก 70,000 ล้านบาท
“ธัชพล ชลวัฒนสกุล” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เฮลท์ลีด หรือ HL ที่ประกอบธุรกิจโดยการลงทุนในบริษัทอื่น (Holding Company) โดยปัจจุบันลงทุนในธุรกิจร้านขายยา จำหน่ายยา เวชภัณฑ์ เวชสำอาง ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร อุปกรณ์การแพทย์ และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพต่างๆ และธุรกิจคิดค้น และพัฒนาร่วมกับทีมวิจัยภายนอก รวมทั้งว่าจ้างผู้ผลิต เพื่อจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมเพื่อสุขภาพ เช่น ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อ ผลิตภัณฑ์สลายกลิ่น และผลิตภัณฑ์หน้ากาก เป็นต้น
เปิดเผยว่า เมืองไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ซึ่งส่งผลทำให้ “ผลิตภัณฑ์ยาและอุปกรณ์การแพทย์” เป็นที่ต้องการมากขึ้น ประกอบกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้เกิดเทรนด์รักสุขภาพมากยิ่งขึ้น ทำให้ผู้บริโภคหันมาสนใจดูแลตัวเอง ผลักดันธุรกิจอาหารเสริม-วิตามินเติบโต
โดยมูลค่าตลาดยาในประเทศไทยจากปี 2563 อยู่ที่ประมาณ 1.8 แสนล้านบาท แบ่งสัดส่วนเป็นโรงพยาบาลภาครัฐ 60% โรงพยาบาลภาคเอกชน 20% และร้านขายยาอีก 20% หากคิดเป็นมูลค่าเฉพาะยาและเวชภัณฑ์ที่จำหน่ายผ่านร้านขายยา คิดเป็น 3.5 หมื่นล้านบาท และมีทิศทางการเติบโตขึ้นทุกๆ ปี และในปัจจุบันคาดว่ามูลค่าตลาดแตะ2 แสนล้านบาท เฉลี่ยเติบโตปีละ 3-5% ทุกปี รวมทั้งบริษัทมีแพลตฟอร์มให้คำปรึกษาออนไลน์ที่ดำเนินการอยู่ด้วย
ส่วนผลประกอบการปี 2566 ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร HL กล่าวว่า บริษัทฯตั้งเป้ารายได้เติบโตมากกว่า 20% จากปีก่อน โดยบริษัทฯมีแผนเปิดสาขาใหม่อีก 14 แห่ง ซึ่งเน้นในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลทำให้ภายในสิ้นปีนี้จะมีสาขารวมทั้งสิ้น 50 สาขา จากปีก่อนที่มีสาขารวม 36 สาขา โดยแต่ละสาขาจะมีขนาดพื้นที่แตกต่างกัน โดยพื้นที่ประมาณ 70-80 ตารางเมตร คาดว่าจะใช้งบลงทุนราว 2 ล้านบาทต่อสาขา ขนาด 80-150 ตารางเมตร จะใช้งบลงทุน 2-3.5 ล้านบาทต่อสาขา และขนาด 150-300 ตารางเมตร ใช้งบลงทุน 3.5-6 ล้านบาทต่อสาขา
สำหรับในไตรมาส 1/2566 บริษัทฯได้เตรียมเปิดสาขาใหม่เพิ่ม 4-5 สาขา ภายใต้แบรนด์ร้านขายยาiCareและPharmaxเป็นหลัก รวมถึงจะมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์นวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง ภายใต้บริษัท เฮลทิเนส จำกัด ที่HLถือหุ้นในสัดส่วน 100% โดยในปี 2566 จะเห็นการขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์นวัตกรรมใหม่ และเตรียมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่อีกประมาณ 5-10 รายการ
ดังนั้นแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/2566 น่าจะออกมาดีมากเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2565 เนื่องจากปัจจุบันยอดขายสาขาเดิมเติบโตเป็นตัวเลข 2 หลักต่อเนื่องมาตั้งแต่ไตรมาส 3 ปีก่อน และไตรมาสนี้ยังได้รับอานิสงส์จากโครงการ ช้อปดีมีคืน ซึ่งสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ ขณะที่การท่องเที่ยวจีนที่เริ่มกลับมาฟื้นตัวอย่างชัดเจน ทำให้มีการปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก ช่วยผลักดันยอดขาย