Fund / Insurance
BKI กำหนดปี 66 ปีแห่งการพลิกฟื้นธุรกิจ ตั้งเป้าเบี้ยรับแตะ 3 หมื่นลบ.โต 12.5%
27 มีนาคม 2566
กรุงเทพประกันภัยเผยแผนงานปี 66 “Year of Resilience towards Sustainable Growth” ปีแห่งการพลิกฟื้นธุรกิจ สู่การเติบโตอย่างยั่งยืน ตั้งเป้าเบี้ยรับรวม 30,000 ล้านบาท โตร้อยละ 12.5 เดินหน้าพัฒนาธุรกิจในทุกมิติด้วยกลยุทธ์ที่แตกต่าง นำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่ให้มากกว่าและพิเศษยิ่งขึ้น ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่
ดร.อภิสิทธิ์ อนันตนาถรัตน ประธานคณะผู้บริหารและกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ BKI กล่าวว่า แนวโน้มของธุรกิจในปี 2566 คาดว่า จะเติบโตเป็นบวกต่อเนื่องเป็นปีที่สอง เเละการขยายตัวของประกันภัยที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจท่องเที่ยว หลังจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ทั้งนักท่องเที่ยวต่างชาติเเละชาวไทยที่เดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศ รวมถึงยังมีนโยบายจัดเก็บค่าธรรมเนียมจากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยในอัตรา 150-300 บาทต่อคน ซึ่งคาดว่าค่าธรรมเนียมส่วนหนึ่งจะนำมาเป็นเบี้ยประกันภัยสุขภาพของนักท่องเที่ยวต่างชาติ
ในปี 2566 นี้ กรุงเทพประกันภัยตั้งเป้าหมายเบี้ยประกันภัยรับรวมอยู่ที่ 30,000 ล้านบาท เติบโตที่ร้อยละ 12.5 แบ่งเป็นเบี้ยประกันภัยรถยนต์ประมาณ 13,096 ล้านบาท และเบี้ยประกันภัยที่ไม่ใช่ประกันภัยรถยนต์หรือ Non-Motor ประมาณ 16,904 ล้านบาท ด้วยกลยุทธ์ที่แตกต่างและความมุ่งมั่นเพื่อยกระดับการบริการให้มีศักยภาพมากยิ่งขึ้น
โดยการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ “ให้มากกว่า” เเละความคุ้มครอง “พิเศษมากขึ้น” ขยายความคุ้มครองให้ครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์ของลูกค้า ผ่านการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์อย่างรับผิดชอบ ปรับกระบวนการคิดและการออกแบบความคุ้มครองให้สอดคล้องกับบริบทสังคมยุคใหม่ที่มีการเปลี่ยนเเปลงอยู่ตลอดเวลา
ส่วนการรับประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ของบริษัทฯ นั้นมีการเติบโตเพิ่มขึ้น โดยปัจจุบันมียอดสะสม (งานใหม่รวมต่ออายุ) ราว 2,000 คัน เป็นเบี้ยประกันภัยรวมมากกว่า 100 ล้านบาท (ณ มี.ค. 66) และคาดว่าทั้งปี 2566 จะมีเบี้ยประกันภัยรวมไม่ต่ำกว่า 120-140 ล้านบาท โดยบริษัทฯ มีแผนจะพัฒนาความคุ้มครองใหม่ๆ พร้อมเพิ่มจำนวนรุ่นรถยนต์ไฟฟ้าที่รับประกันภัยอย่างต่อเนื่องตามความต้องการและรูปแบบความเสี่ยงภัย
และจากวิถีชีวิตของผู้คนยุคใหม่ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว กรุงเทพประกันภัยจึงมีความตั้งใจพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยใหม่ให้เหมาะสมกับผู้บริโภคและสอดคล้องกับความเสี่ยงในการทำกิจกรรมต่างๆ ในรูปแบบ Personalized Insurance ล่าสุดเตรียมเสนอเเผนประกันภัยสุขภาพ + จิตเวช ท่ามกลางสภาวะทางสังคมที่ไม่แน่นอน เปราะบางเเละมีเเรงกดดันมากขึ้น
นอกจากนี้ยังเตรียมยกระดับอู่ซ่อมในสัญญาที่มีมากกว่า 580 แห่ง ให้มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น โดยต่อยอดความสำเร็จของโครงการอู่ชวนซ่อมที่สร้างความประทับใจแก่ลูกค้ามายาวนานกว่าทศวรรษ พร้อมตอกย้ำการเป็นบริษัทประกันภัยที่มีฐานะการเงินแข็งแกร่ง บริษัทฯ ได้มีการปรับเร่งระยะเวลาการจ่ายค่าซ่อมให้กับอู่เหลือเพียง 3 วันทำการเท่านั้น จากเดิมที่บริษัทฯ ดำเนินการจ่ายภายในระยะเวลา 5 วันทำการ
ดร.อภิสิทธิ์ กล่าวด้วยว่า ปี 2566 บริษัทตั้งเป้างบลงทุนด้านเทคโนโลยีกว่า 700 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี65 ที่ลงทุน 400 ล้านบาท เพื่อนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ มาพัฒนาผลิตภัณฑ์และการบริการประกันภัยที่ทันสมัยและมีคุณภาพ เพื่อให้เข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างครอบคลุมทุกสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงของโลกยุคดิจิทัลอย่างไร้ขีดจำกัด และบริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการเป็น Data-Driven Organization ที่ใช้ฐานข้อมูลในการขับเคลื่อนธุรกิจให้ก้าวไปข้างหน้า โดยเน้นให้ผู้บริหารและพนักงานนำข้อมูลมาใช้วิเคราะห์เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจทางธุรกิจ
และบริษัทฯ มีแผนจะเพิ่มระดับการป้องกันความปลอดภัยผ่านการติดตั้ง Endpoint Detection and Response (EDR) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีในการตรวจสอบและตรวจจับพฤติกรรมที่น่าสงสัยที่เกิดขึ้นกับอุปกรณ์คอมพิวเตอร์แบบ Real-Time พร้อมเชื่อมต่อกับเทคโนโลยีอื่นๆ อย่าง Artificial Intelligence (AI) และ Machine Learning (ML) เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้จัดจ้างศูนย์เฝ้าระวังความมั่นคงปลอดภัยระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ Security Operation Center (SOC) ซึ่งหากมีเหตุการณ์ด้านความมั่นคงปลอดภัย (Security Incident) เกิดขึ้น
ดร.อภิสิทธิ์ อนันตนาถรัตน ประธานคณะผู้บริหารและกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ BKI กล่าวว่า แนวโน้มของธุรกิจในปี 2566 คาดว่า จะเติบโตเป็นบวกต่อเนื่องเป็นปีที่สอง เเละการขยายตัวของประกันภัยที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจท่องเที่ยว หลังจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ทั้งนักท่องเที่ยวต่างชาติเเละชาวไทยที่เดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศ รวมถึงยังมีนโยบายจัดเก็บค่าธรรมเนียมจากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยในอัตรา 150-300 บาทต่อคน ซึ่งคาดว่าค่าธรรมเนียมส่วนหนึ่งจะนำมาเป็นเบี้ยประกันภัยสุขภาพของนักท่องเที่ยวต่างชาติ
ในปี 2566 นี้ กรุงเทพประกันภัยตั้งเป้าหมายเบี้ยประกันภัยรับรวมอยู่ที่ 30,000 ล้านบาท เติบโตที่ร้อยละ 12.5 แบ่งเป็นเบี้ยประกันภัยรถยนต์ประมาณ 13,096 ล้านบาท และเบี้ยประกันภัยที่ไม่ใช่ประกันภัยรถยนต์หรือ Non-Motor ประมาณ 16,904 ล้านบาท ด้วยกลยุทธ์ที่แตกต่างและความมุ่งมั่นเพื่อยกระดับการบริการให้มีศักยภาพมากยิ่งขึ้น
โดยการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ “ให้มากกว่า” เเละความคุ้มครอง “พิเศษมากขึ้น” ขยายความคุ้มครองให้ครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์ของลูกค้า ผ่านการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์อย่างรับผิดชอบ ปรับกระบวนการคิดและการออกแบบความคุ้มครองให้สอดคล้องกับบริบทสังคมยุคใหม่ที่มีการเปลี่ยนเเปลงอยู่ตลอดเวลา
ส่วนการรับประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ของบริษัทฯ นั้นมีการเติบโตเพิ่มขึ้น โดยปัจจุบันมียอดสะสม (งานใหม่รวมต่ออายุ) ราว 2,000 คัน เป็นเบี้ยประกันภัยรวมมากกว่า 100 ล้านบาท (ณ มี.ค. 66) และคาดว่าทั้งปี 2566 จะมีเบี้ยประกันภัยรวมไม่ต่ำกว่า 120-140 ล้านบาท โดยบริษัทฯ มีแผนจะพัฒนาความคุ้มครองใหม่ๆ พร้อมเพิ่มจำนวนรุ่นรถยนต์ไฟฟ้าที่รับประกันภัยอย่างต่อเนื่องตามความต้องการและรูปแบบความเสี่ยงภัย
และจากวิถีชีวิตของผู้คนยุคใหม่ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว กรุงเทพประกันภัยจึงมีความตั้งใจพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยใหม่ให้เหมาะสมกับผู้บริโภคและสอดคล้องกับความเสี่ยงในการทำกิจกรรมต่างๆ ในรูปแบบ Personalized Insurance ล่าสุดเตรียมเสนอเเผนประกันภัยสุขภาพ + จิตเวช ท่ามกลางสภาวะทางสังคมที่ไม่แน่นอน เปราะบางเเละมีเเรงกดดันมากขึ้น
นอกจากนี้ยังเตรียมยกระดับอู่ซ่อมในสัญญาที่มีมากกว่า 580 แห่ง ให้มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น โดยต่อยอดความสำเร็จของโครงการอู่ชวนซ่อมที่สร้างความประทับใจแก่ลูกค้ามายาวนานกว่าทศวรรษ พร้อมตอกย้ำการเป็นบริษัทประกันภัยที่มีฐานะการเงินแข็งแกร่ง บริษัทฯ ได้มีการปรับเร่งระยะเวลาการจ่ายค่าซ่อมให้กับอู่เหลือเพียง 3 วันทำการเท่านั้น จากเดิมที่บริษัทฯ ดำเนินการจ่ายภายในระยะเวลา 5 วันทำการ
ดร.อภิสิทธิ์ กล่าวด้วยว่า ปี 2566 บริษัทตั้งเป้างบลงทุนด้านเทคโนโลยีกว่า 700 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี65 ที่ลงทุน 400 ล้านบาท เพื่อนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ มาพัฒนาผลิตภัณฑ์และการบริการประกันภัยที่ทันสมัยและมีคุณภาพ เพื่อให้เข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างครอบคลุมทุกสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงของโลกยุคดิจิทัลอย่างไร้ขีดจำกัด และบริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการเป็น Data-Driven Organization ที่ใช้ฐานข้อมูลในการขับเคลื่อนธุรกิจให้ก้าวไปข้างหน้า โดยเน้นให้ผู้บริหารและพนักงานนำข้อมูลมาใช้วิเคราะห์เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจทางธุรกิจ
และบริษัทฯ มีแผนจะเพิ่มระดับการป้องกันความปลอดภัยผ่านการติดตั้ง Endpoint Detection and Response (EDR) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีในการตรวจสอบและตรวจจับพฤติกรรมที่น่าสงสัยที่เกิดขึ้นกับอุปกรณ์คอมพิวเตอร์แบบ Real-Time พร้อมเชื่อมต่อกับเทคโนโลยีอื่นๆ อย่าง Artificial Intelligence (AI) และ Machine Learning (ML) เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้จัดจ้างศูนย์เฝ้าระวังความมั่นคงปลอดภัยระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ Security Operation Center (SOC) ซึ่งหากมีเหตุการณ์ด้านความมั่นคงปลอดภัย (Security Incident) เกิดขึ้น