Talk of The Town
กุรูหุ้นเชียร์ "ซื้อ" PRM เคาะเป้าสูง 10 บ. อัพประมาณการกำไรปกติปีนี้โต 30% แตะ 1.9 พันลบ. กระแสเงินสดแกร่ง! พร้อมลงทุนได้ทันที
03 เมษายน 2566
เซียนหุ้นประสานเสียงเชียร์ “ซื้อ” PRM ให้ราคาเป้าหมายกรอบ 9.25-10 บาท โดยมีมุมมองเป็นบวก จากเรือ FSU ยังคงโดดเด่นและมีความต้องการใช้งานสูง แถมปัจจัยบวกจากตลาดน้ำมันที่เป็น Contango ส่วนสัญญาเช่าเรือใหม่ยังได้รับ Rate เดิม พร้อมปรับประมาณการกำไรปกติ ปี 2566-2567 ขึ้นเติบโต 30% และ 19% ตามลำดับ เผยปัจจุบันสภาพคล่องสูง ตอบโจทย์ลงทุนโครงการใหม่ได้ทันที
บทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ดาโอ (ประเทศไทย) ระบุว่ายังคงแนะนำ “ซื้อ” หุ้นบริษัท พริมา มารีน จำกัด (มหาชน) หรือ PRM โดยให้ราคาเป้าหมายที่ 10.00 บาท อิงประมาณการปี 2566 core PER ที่ 15 เท่า (-0.5SD below 5-yr average PER) ซึ่งมีมุมมองเป็นบวกจากการประชุมนักวิเคราะห์ล่าสุดโดยมีประเด็นสำคัญ ดังนี้ 1.เรือ FSU ยังคงโดดเด่น ในเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2566 ยังมีการใช้งานเต็มและแนวโน้มความต้องการยังสูงจากตลาดน้ำมันที่เป็น Contango ทำให้ความต้องการเรือ FSU เพื่อกักเก็บน้ำมันสูงขึ้น ส่วนสัญญาเช่าเรือใหม่ยังได้รับเรททรงตัวสูงใกล้เคียงเดิม 2.เรือ domestic trading มีแนวโน้มดีขึ้นต่อเนื่อง จากความต้องการขนส่งน้ำมันเครื่องบินที่สูงขึ้น และแผนขยายธุรกิจเรือ Chemical tanker มากขึ้น 3.ในปีนี้มีแผนรับเรือใหม่ ได้แก่ เรือ chemical tanker 1 ลำ คาดว่าจะเริ่มให้บริการไตรมาส 2/2566 นอกจากนี้ยังได้สั่งต่อเรือ crew boat 2 ลำ โดยคาดว่าจะรับใน 4Q23E-1Q24E โดยปี 2566 ยังมีแผนจะเพิ่มเรือ Chemical tanker เป็นหลัก และ 4.จะมีเรือเข้า dry dock ปี2566 เหลือ 15 ลำ (ปี 2565 ที่ 31 ลำ) ทำให้จำนวนเรือให้บริการจะดีขึ้น
ทั้งนี้ ยังคงประมาณการกำไรปกติปี 2566 ที่ 1.7 พันล้านบาทเพิ่มขึ้น 12% จากปีก่อน จากทุกธุรกิจที่ดีขึ้น เรียงตามลำดับ ได้แก่ 1.เรือ international trading จะดีขึ้นมาก จากการรับรู้รายได้เรือ VLCC เต็มปีครบทั้ง 3 ลำ, 2.เรือ FSU จาก u-rate ที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และค่าเช่าเรือที่ทรงตัวสูง และได้ผลบวกจากต้นทุนน้ำมันที่ลดลง และ 3.เรือ Domestic trading จากตามความต้องการขนส่งน้ำมันและเคมีภัณฑ์ที่สูงขึ้น สำหรับเรือ Chemical tanker ลำใหม่ คาดว่าจะช่วยเพิ่มกำไรราว 25-30 ล้านบาท/ปี ใกล้เคียงกับที่ประเมินราคาหุ้น outperform SET +5%/+20% ในช่วง 3 และ 3 เดือน จากกำไรปกติไตรมาส 3-4/2565 ที่เติบโตโดดเด่น
ยังแนะนำ “ซื้อ” จากกำไรปกติ 2566 ที่ยังสดใส และมีโอกาส upside จากแผนซื้อเรือใหม่ ส่วนราคาน้ำมันที่ลดลงยังเป็นบวก ทำให้ความต้องการใช้เรือ FSU เพิ่มขึ้น และต้นทุนน้ำมันที่ลดลง ด้าน valuation ยังน่าสนใจคิดเป็น 2566 core PER ที่ 10.6 เท่า (-1.0SD) (กำไรปกติปี 2566 จะกลับมาดีกว่าปี 2563 ที่มีกำไร 1.6 พันล้านบาท ขณะที่ราคาหุ้นในปี 2563 เฉลี่ยอยู่ที่ 8.50 - 9.50 บาท)
ด้านบทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี พัฒนสิน ระบุว่า PRM แนะนำ “ซื้อ” มูลค่าพื้นฐานที่ 9.50 บาท เทียบเท่า PER 14 เท่า (vs. กลุ่มที่ราว 15-16 เท่า) โดยมีมุมมอง Positive จาก Analyst Meeting โดยธุรกิจ FSU ยังอยู่ในจุดที่ดี ทำให้เป็นตัวยืนให้ผลประกอบการยังคงมีแนวโน้มอยู่ในจุดที่ดีในไตรมาส 1/2566 ส่วนธุรกิจอื่นๆ ยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะเรือขนส่งน้ำมันขนาดเล็ก ในส่วนของเรือปิโตรเคมี ที่บริษัทมีความได้เปรียบกว่าคู่แข่งในอุตสาหกรรม พร้อมรับการเติบโตกับโอกาสที่เข้ามา โดยมีภาพอุตสาหกรรมหนุนคือ การระบายสต็อคปิโตรเคมีที่จะเกิดขึ้น
โดยปัจจุบันมี IBD/E ต่ำเพียง 0.5 เท่า ยังมี Capacity ที่จะเติบโต โดยเรามองระดับ Valuation ปัจจุบันน่าสนใจด้วยเทรดที่เพียง -0.5SD จากค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี ทั้งที่กำไรมีแนวโน้มมีเสถียรภาพมากขึ้น
ขณะที่บทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์พาย ระบุว่า PRM มีแผนการขยายกองเรือน่าสนใจกว่าที่คิด โดยบริษัทเพิ่มเรือขนเคมีภัณฑ์มือ 2 (DWT11,000) เข้าพอร์ตด้วยงบลงทุน US$11 ล้านเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2563 ซึ่งมีปริมาตรขนส่งมากกว่าเรือขนเคมีภัณฑ์ 7 ลำของบริษัท (เฉลี่ย ณ ปัจจุบันลำล่ะ DWT3,000-7,000) ทั้งนี้ก็เพื่อรองรับลูกค้าใน ภูมิภาคเอเชียมากขึ้น โดยแผนระยะยาวของ PRM คือการมีเรือประเภทนี้เพิ่มขึ้นเป็น 10-15 ลำ และก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในผู้เล่นระดับภูมิภาค โดยเราเชื่อว่าบริษัทมีเงินทุนมากพอที่จะทำเช่นนั้น ซึ่งจะทำให้บริษัทได้รับอานิสงส์จากสภาพตลาดที่เป็นใจในช่วงถัดไปและเป็นการกระจายความเสี่ยงจากที่เคยพึ่งพาแต่เรือขนส่งน้ำมันดิบ-น้ำมันที่ถูกกลั่น เป็นหลัก (90% ของปริมาณขนส่งในประเทศ)
โดยคาดว่าตลาดการขนส่งสินค้าเคมีภัณฑ์ทางทะเลตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นไปจะได้อานิสงส์จากสภาพตลาดที่มีปัจจัยบวกมากกว่าตลาดเรือขนส่งน้ำมัน อิงจากอุปสงค์จากจีนที่สูงขึ้นหลังกลับมาเปิดประเทศ และอุปทานสินค้าปิโตร-เคมีภัณฑ์ใหม่ๆ จากโรงกลั่นในภูมิภาคที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ในด้านอุปทานเรือขนส่งสินค้าเคมีภัณฑ์คาดว่าจะมีเรือเก่า 46% ที่ต้องขายซากทิ้งเพราะไม่เข้ากฎเกณฑ์ด้านสิ่งแวดล้อมใหม่ ทั้งนี้การหาเรือขนเคมีภัณฑ์มือสองเข้ามาก็ยังเป็นงานที่ท้าทาย ขณะที่การต่อเรือใหม่เลยต้องใช้เวลาอย่างน้อย 14-16 เดือนกว่าจะพร้อมปล่อยเช่า
พร้อมมองกิจการแข็งแกร่ง พร้อม upside จากกองเรือใหม่ ขณะที่หุ้นก็เทรดกันที่ส่วนลดที่จูงใจ โดยมูลค่ำพื้นฐานของเราที่ 9.25 บาท อิง 12.0xPE’23E หรือค่าเฉลี่ย PE ย้อนหลัง 3 ปี ซึ่งใกล้ค่าเฉลี่ยกลุ่มขนส่งเอเชียที่ไม่รวมญี่ปุ่น
การปรับประมาณการกำไร เราปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2566 ขึ้น 30% เป็น 1.9 พันล้านบาท และปี 2567 ขึ้น 19% เป็น 1.8 พันล้านบาท หลังนับรวมอุปสงค์เรือ FSU ที่ดีกว่าคาด การนำเรือขนาดใหญ่เข้าอู่แห้งที่สิ้นสุดลงในปี 2566(คาดค่าใช้จ่ายอู่แห้งจะลดลงราว 40%) และอัตรากำไรที่แข็งแกร่งขึ้นจากทุกหน่วยธุรกิจ ด้วยเหตุนี้จึงปรับเพิ่มรายได้ขึ้น 10% และ 6% และเพิ่ม GPM ขึ้นเป็น 35.1% และ 34.1% ตามลำดับ เราจึงเพิ่มคำแนะนำเป็น "ซื้อ" มูลค่าพื้นฐาน 9.25 บาท (จาก 7.70 บาท) ปัจจุบันหุ้นซื้อขายต่า -2SD ต่อค่าเฉลี่ย 5 ปี ขณะที่มีเงินสดพร้อมลงทุนอยู่ 2.6 พันล้านบาท
บทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ดาโอ (ประเทศไทย) ระบุว่ายังคงแนะนำ “ซื้อ” หุ้นบริษัท พริมา มารีน จำกัด (มหาชน) หรือ PRM โดยให้ราคาเป้าหมายที่ 10.00 บาท อิงประมาณการปี 2566 core PER ที่ 15 เท่า (-0.5SD below 5-yr average PER) ซึ่งมีมุมมองเป็นบวกจากการประชุมนักวิเคราะห์ล่าสุดโดยมีประเด็นสำคัญ ดังนี้ 1.เรือ FSU ยังคงโดดเด่น ในเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2566 ยังมีการใช้งานเต็มและแนวโน้มความต้องการยังสูงจากตลาดน้ำมันที่เป็น Contango ทำให้ความต้องการเรือ FSU เพื่อกักเก็บน้ำมันสูงขึ้น ส่วนสัญญาเช่าเรือใหม่ยังได้รับเรททรงตัวสูงใกล้เคียงเดิม 2.เรือ domestic trading มีแนวโน้มดีขึ้นต่อเนื่อง จากความต้องการขนส่งน้ำมันเครื่องบินที่สูงขึ้น และแผนขยายธุรกิจเรือ Chemical tanker มากขึ้น 3.ในปีนี้มีแผนรับเรือใหม่ ได้แก่ เรือ chemical tanker 1 ลำ คาดว่าจะเริ่มให้บริการไตรมาส 2/2566 นอกจากนี้ยังได้สั่งต่อเรือ crew boat 2 ลำ โดยคาดว่าจะรับใน 4Q23E-1Q24E โดยปี 2566 ยังมีแผนจะเพิ่มเรือ Chemical tanker เป็นหลัก และ 4.จะมีเรือเข้า dry dock ปี2566 เหลือ 15 ลำ (ปี 2565 ที่ 31 ลำ) ทำให้จำนวนเรือให้บริการจะดีขึ้น
ทั้งนี้ ยังคงประมาณการกำไรปกติปี 2566 ที่ 1.7 พันล้านบาทเพิ่มขึ้น 12% จากปีก่อน จากทุกธุรกิจที่ดีขึ้น เรียงตามลำดับ ได้แก่ 1.เรือ international trading จะดีขึ้นมาก จากการรับรู้รายได้เรือ VLCC เต็มปีครบทั้ง 3 ลำ, 2.เรือ FSU จาก u-rate ที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และค่าเช่าเรือที่ทรงตัวสูง และได้ผลบวกจากต้นทุนน้ำมันที่ลดลง และ 3.เรือ Domestic trading จากตามความต้องการขนส่งน้ำมันและเคมีภัณฑ์ที่สูงขึ้น สำหรับเรือ Chemical tanker ลำใหม่ คาดว่าจะช่วยเพิ่มกำไรราว 25-30 ล้านบาท/ปี ใกล้เคียงกับที่ประเมินราคาหุ้น outperform SET +5%/+20% ในช่วง 3 และ 3 เดือน จากกำไรปกติไตรมาส 3-4/2565 ที่เติบโตโดดเด่น
ยังแนะนำ “ซื้อ” จากกำไรปกติ 2566 ที่ยังสดใส และมีโอกาส upside จากแผนซื้อเรือใหม่ ส่วนราคาน้ำมันที่ลดลงยังเป็นบวก ทำให้ความต้องการใช้เรือ FSU เพิ่มขึ้น และต้นทุนน้ำมันที่ลดลง ด้าน valuation ยังน่าสนใจคิดเป็น 2566 core PER ที่ 10.6 เท่า (-1.0SD) (กำไรปกติปี 2566 จะกลับมาดีกว่าปี 2563 ที่มีกำไร 1.6 พันล้านบาท ขณะที่ราคาหุ้นในปี 2563 เฉลี่ยอยู่ที่ 8.50 - 9.50 บาท)
ด้านบทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี พัฒนสิน ระบุว่า PRM แนะนำ “ซื้อ” มูลค่าพื้นฐานที่ 9.50 บาท เทียบเท่า PER 14 เท่า (vs. กลุ่มที่ราว 15-16 เท่า) โดยมีมุมมอง Positive จาก Analyst Meeting โดยธุรกิจ FSU ยังอยู่ในจุดที่ดี ทำให้เป็นตัวยืนให้ผลประกอบการยังคงมีแนวโน้มอยู่ในจุดที่ดีในไตรมาส 1/2566 ส่วนธุรกิจอื่นๆ ยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะเรือขนส่งน้ำมันขนาดเล็ก ในส่วนของเรือปิโตรเคมี ที่บริษัทมีความได้เปรียบกว่าคู่แข่งในอุตสาหกรรม พร้อมรับการเติบโตกับโอกาสที่เข้ามา โดยมีภาพอุตสาหกรรมหนุนคือ การระบายสต็อคปิโตรเคมีที่จะเกิดขึ้น
โดยปัจจุบันมี IBD/E ต่ำเพียง 0.5 เท่า ยังมี Capacity ที่จะเติบโต โดยเรามองระดับ Valuation ปัจจุบันน่าสนใจด้วยเทรดที่เพียง -0.5SD จากค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี ทั้งที่กำไรมีแนวโน้มมีเสถียรภาพมากขึ้น
ขณะที่บทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์พาย ระบุว่า PRM มีแผนการขยายกองเรือน่าสนใจกว่าที่คิด โดยบริษัทเพิ่มเรือขนเคมีภัณฑ์มือ 2 (DWT11,000) เข้าพอร์ตด้วยงบลงทุน US$11 ล้านเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2563 ซึ่งมีปริมาตรขนส่งมากกว่าเรือขนเคมีภัณฑ์ 7 ลำของบริษัท (เฉลี่ย ณ ปัจจุบันลำล่ะ DWT3,000-7,000) ทั้งนี้ก็เพื่อรองรับลูกค้าใน ภูมิภาคเอเชียมากขึ้น โดยแผนระยะยาวของ PRM คือการมีเรือประเภทนี้เพิ่มขึ้นเป็น 10-15 ลำ และก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในผู้เล่นระดับภูมิภาค โดยเราเชื่อว่าบริษัทมีเงินทุนมากพอที่จะทำเช่นนั้น ซึ่งจะทำให้บริษัทได้รับอานิสงส์จากสภาพตลาดที่เป็นใจในช่วงถัดไปและเป็นการกระจายความเสี่ยงจากที่เคยพึ่งพาแต่เรือขนส่งน้ำมันดิบ-น้ำมันที่ถูกกลั่น เป็นหลัก (90% ของปริมาณขนส่งในประเทศ)
โดยคาดว่าตลาดการขนส่งสินค้าเคมีภัณฑ์ทางทะเลตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นไปจะได้อานิสงส์จากสภาพตลาดที่มีปัจจัยบวกมากกว่าตลาดเรือขนส่งน้ำมัน อิงจากอุปสงค์จากจีนที่สูงขึ้นหลังกลับมาเปิดประเทศ และอุปทานสินค้าปิโตร-เคมีภัณฑ์ใหม่ๆ จากโรงกลั่นในภูมิภาคที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ในด้านอุปทานเรือขนส่งสินค้าเคมีภัณฑ์คาดว่าจะมีเรือเก่า 46% ที่ต้องขายซากทิ้งเพราะไม่เข้ากฎเกณฑ์ด้านสิ่งแวดล้อมใหม่ ทั้งนี้การหาเรือขนเคมีภัณฑ์มือสองเข้ามาก็ยังเป็นงานที่ท้าทาย ขณะที่การต่อเรือใหม่เลยต้องใช้เวลาอย่างน้อย 14-16 เดือนกว่าจะพร้อมปล่อยเช่า
พร้อมมองกิจการแข็งแกร่ง พร้อม upside จากกองเรือใหม่ ขณะที่หุ้นก็เทรดกันที่ส่วนลดที่จูงใจ โดยมูลค่ำพื้นฐานของเราที่ 9.25 บาท อิง 12.0xPE’23E หรือค่าเฉลี่ย PE ย้อนหลัง 3 ปี ซึ่งใกล้ค่าเฉลี่ยกลุ่มขนส่งเอเชียที่ไม่รวมญี่ปุ่น
การปรับประมาณการกำไร เราปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2566 ขึ้น 30% เป็น 1.9 พันล้านบาท และปี 2567 ขึ้น 19% เป็น 1.8 พันล้านบาท หลังนับรวมอุปสงค์เรือ FSU ที่ดีกว่าคาด การนำเรือขนาดใหญ่เข้าอู่แห้งที่สิ้นสุดลงในปี 2566(คาดค่าใช้จ่ายอู่แห้งจะลดลงราว 40%) และอัตรากำไรที่แข็งแกร่งขึ้นจากทุกหน่วยธุรกิจ ด้วยเหตุนี้จึงปรับเพิ่มรายได้ขึ้น 10% และ 6% และเพิ่ม GPM ขึ้นเป็น 35.1% และ 34.1% ตามลำดับ เราจึงเพิ่มคำแนะนำเป็น "ซื้อ" มูลค่าพื้นฐาน 9.25 บาท (จาก 7.70 บาท) ปัจจุบันหุ้นซื้อขายต่า -2SD ต่อค่าเฉลี่ย 5 ปี ขณะที่มีเงินสดพร้อมลงทุนอยู่ 2.6 พันล้านบาท