บมจ.มิลเลนเนียม กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น (เอเชีย) หรือ ‘มิลเลนเนียม กรุ๊ปฯ MGC-ASIA’ แสดงวิสัยทัศน์ผู้นำธุรกิจค้าปลีกยานยนต์ Lifestyle Mobility Ecosystem วางกลยุทธ์ขับเคลื่อนธุรกิจ พัฒนาระบบนิเวศทางธุรกิจภายใต้กลุ่ม MGC-ASIA สู่ธุรกิจที่มีศักยภาพเติบโตสูงในอนาคต เพื่อให้ครอบคลุมทุกวงจรการใช้บริการของลูกค้า และสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน เตรียมพร้อมเดินหน้าเสนอขาย IPO เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ดร.สัณหวุฒิ ธรรมชวนวิริยะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท มิลเลนเนียม กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น (เอเชีย) จำกัด (มหาชน) เผยว่า “มิลเลนเนียม กรุ๊ปฯ MGC-ASIA เป็นผู้นำธุรกิจค้าปลีกยานยนต์ ‘Lifestyle Mobility Ecosystem’ ที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการดำเนินธุรกิจมายาวนานกว่า 20 ปี ภายใต้วิสัยทัศน์ ‘หนึ่งในผู้นำธุรกิจไลฟ์สไตล์โมบิลิตี้ที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม โดยมีลูกค้าเป็นศูนย์กลาง’ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา กลุ่มบริษัทฯ มุ่งพัฒนาระบบนิเวศทางธุรกิจ ภายใต้ชื่อ ‘MGC-ASIA Ecosystem’ สร้างการเติบโตอย่างมั่นคงให้แก่กลุ่มธุรกิจหลัก โดยการขยายสินค้าและบริการอย่างต่อเนื่อง ให้ครอบคลุมทุกวงจรการใช้บริการของลูกค้า และการแสวงหาโอกาสในการสร้างธุรกิจใหม่ ทั้งจากการร่วมมือภายในกลุ่มบริษัทฯ และพันธมิตรชั้นแนวหน้าในหลากหลายกลุ่มธุรกิจ สร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืนในระยะยาว”
ภายใต้ระบบนิเวศทางธุรกิจของกลุ่ม MGC-ASIA มีสินค้าและบริการที่หลากหลาย ตอบสนองความต้องการให้ลูกค้าได้อย่างครอบคลุม ประกอบด้วย ธุรกิจจำหน่ายรถยนต์และบิ๊กไบค์ระดับโลก ได้แก่ Rolls-Royce, BMW, MINI, Honda, BMW Motorrad และ Harley-Davidson ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายเรือยอชท์ Azimut รายเดียวในประเทศไทย และผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายเรือแม่น้ำ Chris-Craft แต่เพียงผู้เดียวในไทยและอาเซียน รวมถึงรถยนต์มือสองพร้อมการรับประกัน ธุรกิจจัดหาลูกค้าสำหรับบริการให้เช่าเครื่องบินเจ็ทส่วนตัว VistaJet และตัวแทนจำหน่ายบัตรโดยสารสายการบินชั้นนำ ธุรกิจบริการหลังการขายและซ่อมบำรุงรถยนต์อิสระ ธุรกิจบริการเช่ารถยนต์ ทั้งระยะสั้นและระยะยาวพร้อมพนักงานขับ รวมถึงธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องและช่วยเสริมสร้างรายได้ระยะยาว อาทิ บริการทางการเงินครบวงจร สำหรับยานยนต์หรูและมารีน (Alpha X) นายหน้าประกันภัย (Howden Maxi) บริการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) และศูนย์ปฏิบัติการข้อมูล เป็นต้น
กลุ่มบริษัทฯ ได้พัฒนาธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างจุดแข็งและความแตกต่างจากผู้ประกอบการรายอื่นในอุตสาหกรรม ดังนี้
1) การดำเนินธุรกิจอย่างครบวงจร ภายใต้ MGC-ASIA Ecosystem ที่แข็งแกร่ง มีผลิตภัณฑ์และบริการที่ครอบคลุม
ทุกกลุ่มลูกค้า และมีธุรกิจสนับสนุนอื่นๆ ที่ช่วยส่งเสริมธุรกิจหลักของกลุ่มบริษัทฯ
2) เป็นหนึ่งในผู้ประกอบการรายใหญ่ของอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทย มีความน่าเชื่อถือ และมีตำแหน่งทางการตลาดที่โดดเด่น
3) เป็นผู้นำในธุรกิจการให้บริการหลังการขาย และซ่อมบำรุงรถยนต์ที่มีคุณภาพสูงสุด ผสานเทคโนโลยีล้ำสมัย ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าทุกกลุ่ม
4) ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของผู้บริหาร มีวิสัยทัศน์ในการนำพาธุรกิจเติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน บนพื้นฐานคุณค่าและความซื่อสัตย์
ทั้งนี้ มิลเลนเนียม กรุ๊ปฯ MGC-ASIA กำหนดยุทธศาสตร์เพื่อสร้างการเติบโต และเสริมสร้างความแข็งแกร่ง ด้วยการขยายระบบนิเวศทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ผ่านกลยุทธ์หลักในการขับเคลื่อนธุรกิจของกลุ่มบริษัทฯ ได้แก่
1) สร้างความแข็งแกร่งให้ MGC-ASIA Ecosystem เพิ่มความหลากหลายของสินค้าและบริการ สร้างความแตกต่างและโดดเด่น ด้วยโมเดล Lifestyle Mobility Ecosystem
2) มุ่งสู่การเป็นผู้นำธุรกิจจำหน่ายและให้บริการด้านยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย ผ่านการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน และการพัฒนาบุคลากร เพื่อรองรับบริการหลังการขายและซ่อมบำรุงยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งจะเป็นปัจจัยหลักในการสร้างรายได้ประจำ รวมถึงผลตอบแทนให้กับกลุ่มบริษัทฯ ได้ในระยะยาว
3) เพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง บริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้ทรัพยากรร่วมกันภายในระบบนิเวศทางธุรกิจ เพิ่มขีดความสามารถในการทำกำไรของกลุ่มบริษัทฯ
4) ยกระดับการให้บริการ โดยนำเทคโนโลยีเข้ามาปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำธุรกิจ (Digitalization) เตรียมความพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงสู่ Digi-Tech Lifestyle Mobility บนแพลตฟอร์มออนไลน์และออฟไลน์ มิลเลนเนียม กรุ๊ปฯ MGC-ASIA วางเป้าหมายการเติบโต ผ่านการดำเนินงานตามกลยุทธ์หลัก และขยายพอร์ตไปสู่กลุ่มธุรกิจใหม่ๆ ที่มีศักยภาพเติบโตสูง ผสานความร่วมมือกับพันธมิตรที่แข็งแกร่ง โดยใช้ประโยชน์จากฐานลูกค้าภายในระบบนิเวศทางธุรกิจ และขยายฐานลูกค้าให้ครอบคลุมทุกเซกเมนต์ เพื่อบริหารความเสี่ยงจากความผันผวนของภาวะเศรษฐกิจ รวมทั้งมุ่งขยายฐานสินค้าและบริการให้ครอบคลุมทุกมิติ
ขณะเดียวกัน กลุ่มบริษัทฯ ได้ร่วมทุนกับบริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) จัดตั้ง บริษัท อัลฟา เอกซ์ จำกัด เพื่อให้บริการทางการเงินอย่างครบวงจร ครอบคลุมสินเชื่อเช่าซื้อ ลีสซิ่ง และสินเชื่อรีไฟแนนซ์ สำหรับยานยนต์ระดับลักชัวรี่และมารีน เจาะกลุ่มลูกค้าพรีเมียม-ลักชัวรี่ พร้อมเล็งเห็นความต้องการด้านประกันภัยจากกลุ่มลูกค้าของกลุ่มบริษัทฯ จึงขยายการลงทุนสู่ธุรกิจนายหน้าประกันภัย ผ่านการร่วมมือกับ ฮาวเด้น กรุ๊ป ซึ่งเป็นหนึ่งในโบรกเกอร์รายใหญ่ที่สุดในยุโรปและมีชื่อเสียงระดับโลก เพื่อขยายระบบนิเวศทางธุรกิจตามยุทธศาสตร์ของกลุ่มบริษัทฯ และสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน
นางสาวเจิดนภางค์ ธรรมชวนวิริยะ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการเงินและบัญชีกลุ่ม บริษัท มิลเลนเนียม กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น (เอเชีย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แม้ภาพรวมเศรษฐกิจทั่วโลกได้รับผลกระทบจากภาวะเงินเฟ้อและสถานการณ์แพร่ระบาดของ โควิด-19 แต่ตลาดลักชัวรี่เป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบน้อยกว่าเซกเมนต์อื่นๆ และในบางภูมิภาคสามารถเติบโตสวนกระแสจากการขยายตัวของฐานลูกค้าที่มีอายุเฉลี่ยต่ำลงและมีความต้องการเพิ่มต่อเนื่อง ขณะที่ภาพรวมอุตสาหกรรมยานยนต์แม้ได้รับผลกระทบจากปัญหาชิ้นส่วนขาดแคลน แต่ตลาดรถยนต์ระดับลักชัวรี่ยังเป็นที่ต้องการสูง สะท้อนจากยานยนต์แบรนด์ชั้นนำระดับโลกที่สร้างยอดขายได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งบริษัทฯ ได้รับประโยชน์จากการมีพอร์ตธุรกิจที่หลากหลาย ครอบคลุมลูกค้าทุกเซกเมนต์ ทำให้ภาพรวมรายได้และกำไรของกลุ่มบริษัทฯ ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ขณะเดียวกัน ด้วยประสบการณ์ความเชี่ยวชาญในการบริหารความเสี่ยงและการปรับตัวทางกลยุทธ์ ทำให้กลุ่มบริษัทฯ มีผลประกอบการเติบโตอย่างมั่นคง โดยสะท้อนจากผลประกอบการในปี 2563 2564 และ 2565 กลุ่มบริษัทฯ มีรายได้รวม 20,275.3 ล้านบาท 21,350.3 ล้านบาท และ 23,076.2 ล้านบาท ตามลำดับ เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 6.7% ต่อปี เนื่องจากเศรษฐกิจที่ทยอย
ฟื้นตัวจากวิกฤตโควิด-19 ที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
กลุ่มบริษัทฯ มีกำไรสุทธิปี 2563 2564 และ 2565 อยู่ที่ 188.8 ล้านบาท 295.5 ล้านบาท และ 595.6 ล้านบาท ตามลำดับ จากการเพิ่มของรายได้จากการขายและบริการ การเพิ่มของอัตรากำไรขั้นต้น ขณะที่สัดส่วนต้นทุนการจัดจำหน่ายและค่าใช้จ่ายในการบริหารต่อรายได้รวมเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ตอกย้ำถึงความสามารถในการบริหารต้นทุนและค่าใช้จ่าย
ทั้งนี้ มิลเลนเนียม กรุ๊ป MGC-ASIA มีวัตถุประสงค์การระดมทุน เพื่อนำไปลงทุนในบริษัท อัลฟา เอกซ์ จำกัด บริษัท มาสเตอร์ มอเตอร์ เซอร์วิสเซส (ประเทศไทย) จำกัด รวมถึงชำระเงินกู้จากสถาบันการเงิน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนของกลุ่มบริษัทฯ เพื่อสร้างความแข็งแกร่งทางธุรกิจ รองรับการเติบโตในอนาคต
นายวราห์ สุจริตกุล ประธานกรรมการ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันซ่า จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า มิลเลนเนียม กรุ๊ปฯ MGC-ASIA มีแบรนด์ยานยนต์ชั้นนำอย่าง Rolls-Royce BMW และ MINI ที่ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าระดับกลางถึงบน รวมถึงมีบริการหลังการขาย ศูนย์ซ่อมบำรุงอิสระ บริการทางการเงิน ประกันภัย และบริการอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่องครบวงจร นอกจากนี้ยังมีโอกาสในการเติบโตจากการได้รับสิทธิที่จะลงทุนในแบรนด์ Peugeot Jeep และ Maserati ซึ่งเป็นแบรนด์ภายใต้กลุ่ม Stellantis รวมไปถึงแบรนด์ Aston Martin ผนวกกับสภาพอุตสาหกรรมที่เริ่มกลับสู่สภาวะปกติ การเพิ่มขึ้นของอุปสงค์และอุปทานภายหลังสถานการณ์ โควิด-19 โดยบริษัทฯ มีการเตรียมความพร้อมทั้งในด้านสินค้าและบริการเพื่อรองรับการเติบโตอย่างยั่งยืน ตอกย้ำความเป็นผู้นำธุรกิจค้าปลีกยานยนต์
ล่าสุด กลุ่มบริษัทฯ ได้รับอนุญาตให้เสนอขายหลักทรัพย์ จากสำนักงาน ก.ล.ต. แล้ว และอยู่ระหว่างพิจารณากำหนดช่วงเวลาและราคาที่จะเสนอขายหุ้นสามัญแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก โดยจะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไป
เป็นครั้งแรก (IPO) รวมไม่เกิน 280,000,000 หุ้น หรือคิดเป็นไม่เกินร้อยละ 25.0 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญในครั้งนี้
ดร.สัณหวุฒิ ธรรมชวนวิริยะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท มิลเลนเนียม กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น (เอเชีย) จำกัด (มหาชน) เผยว่า “มิลเลนเนียม กรุ๊ปฯ MGC-ASIA เป็นผู้นำธุรกิจค้าปลีกยานยนต์ ‘Lifestyle Mobility Ecosystem’ ที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการดำเนินธุรกิจมายาวนานกว่า 20 ปี ภายใต้วิสัยทัศน์ ‘หนึ่งในผู้นำธุรกิจไลฟ์สไตล์โมบิลิตี้ที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม โดยมีลูกค้าเป็นศูนย์กลาง’ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา กลุ่มบริษัทฯ มุ่งพัฒนาระบบนิเวศทางธุรกิจ ภายใต้ชื่อ ‘MGC-ASIA Ecosystem’ สร้างการเติบโตอย่างมั่นคงให้แก่กลุ่มธุรกิจหลัก โดยการขยายสินค้าและบริการอย่างต่อเนื่อง ให้ครอบคลุมทุกวงจรการใช้บริการของลูกค้า และการแสวงหาโอกาสในการสร้างธุรกิจใหม่ ทั้งจากการร่วมมือภายในกลุ่มบริษัทฯ และพันธมิตรชั้นแนวหน้าในหลากหลายกลุ่มธุรกิจ สร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืนในระยะยาว”
ภายใต้ระบบนิเวศทางธุรกิจของกลุ่ม MGC-ASIA มีสินค้าและบริการที่หลากหลาย ตอบสนองความต้องการให้ลูกค้าได้อย่างครอบคลุม ประกอบด้วย ธุรกิจจำหน่ายรถยนต์และบิ๊กไบค์ระดับโลก ได้แก่ Rolls-Royce, BMW, MINI, Honda, BMW Motorrad และ Harley-Davidson ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายเรือยอชท์ Azimut รายเดียวในประเทศไทย และผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายเรือแม่น้ำ Chris-Craft แต่เพียงผู้เดียวในไทยและอาเซียน รวมถึงรถยนต์มือสองพร้อมการรับประกัน ธุรกิจจัดหาลูกค้าสำหรับบริการให้เช่าเครื่องบินเจ็ทส่วนตัว VistaJet และตัวแทนจำหน่ายบัตรโดยสารสายการบินชั้นนำ ธุรกิจบริการหลังการขายและซ่อมบำรุงรถยนต์อิสระ ธุรกิจบริการเช่ารถยนต์ ทั้งระยะสั้นและระยะยาวพร้อมพนักงานขับ รวมถึงธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องและช่วยเสริมสร้างรายได้ระยะยาว อาทิ บริการทางการเงินครบวงจร สำหรับยานยนต์หรูและมารีน (Alpha X) นายหน้าประกันภัย (Howden Maxi) บริการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) และศูนย์ปฏิบัติการข้อมูล เป็นต้น
กลุ่มบริษัทฯ ได้พัฒนาธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างจุดแข็งและความแตกต่างจากผู้ประกอบการรายอื่นในอุตสาหกรรม ดังนี้
1) การดำเนินธุรกิจอย่างครบวงจร ภายใต้ MGC-ASIA Ecosystem ที่แข็งแกร่ง มีผลิตภัณฑ์และบริการที่ครอบคลุม
ทุกกลุ่มลูกค้า และมีธุรกิจสนับสนุนอื่นๆ ที่ช่วยส่งเสริมธุรกิจหลักของกลุ่มบริษัทฯ
2) เป็นหนึ่งในผู้ประกอบการรายใหญ่ของอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทย มีความน่าเชื่อถือ และมีตำแหน่งทางการตลาดที่โดดเด่น
3) เป็นผู้นำในธุรกิจการให้บริการหลังการขาย และซ่อมบำรุงรถยนต์ที่มีคุณภาพสูงสุด ผสานเทคโนโลยีล้ำสมัย ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าทุกกลุ่ม
4) ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของผู้บริหาร มีวิสัยทัศน์ในการนำพาธุรกิจเติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน บนพื้นฐานคุณค่าและความซื่อสัตย์
ทั้งนี้ มิลเลนเนียม กรุ๊ปฯ MGC-ASIA กำหนดยุทธศาสตร์เพื่อสร้างการเติบโต และเสริมสร้างความแข็งแกร่ง ด้วยการขยายระบบนิเวศทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ผ่านกลยุทธ์หลักในการขับเคลื่อนธุรกิจของกลุ่มบริษัทฯ ได้แก่
1) สร้างความแข็งแกร่งให้ MGC-ASIA Ecosystem เพิ่มความหลากหลายของสินค้าและบริการ สร้างความแตกต่างและโดดเด่น ด้วยโมเดล Lifestyle Mobility Ecosystem
2) มุ่งสู่การเป็นผู้นำธุรกิจจำหน่ายและให้บริการด้านยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย ผ่านการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน และการพัฒนาบุคลากร เพื่อรองรับบริการหลังการขายและซ่อมบำรุงยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งจะเป็นปัจจัยหลักในการสร้างรายได้ประจำ รวมถึงผลตอบแทนให้กับกลุ่มบริษัทฯ ได้ในระยะยาว
3) เพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง บริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้ทรัพยากรร่วมกันภายในระบบนิเวศทางธุรกิจ เพิ่มขีดความสามารถในการทำกำไรของกลุ่มบริษัทฯ
4) ยกระดับการให้บริการ โดยนำเทคโนโลยีเข้ามาปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำธุรกิจ (Digitalization) เตรียมความพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงสู่ Digi-Tech Lifestyle Mobility บนแพลตฟอร์มออนไลน์และออฟไลน์ มิลเลนเนียม กรุ๊ปฯ MGC-ASIA วางเป้าหมายการเติบโต ผ่านการดำเนินงานตามกลยุทธ์หลัก และขยายพอร์ตไปสู่กลุ่มธุรกิจใหม่ๆ ที่มีศักยภาพเติบโตสูง ผสานความร่วมมือกับพันธมิตรที่แข็งแกร่ง โดยใช้ประโยชน์จากฐานลูกค้าภายในระบบนิเวศทางธุรกิจ และขยายฐานลูกค้าให้ครอบคลุมทุกเซกเมนต์ เพื่อบริหารความเสี่ยงจากความผันผวนของภาวะเศรษฐกิจ รวมทั้งมุ่งขยายฐานสินค้าและบริการให้ครอบคลุมทุกมิติ
ขณะเดียวกัน กลุ่มบริษัทฯ ได้ร่วมทุนกับบริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) จัดตั้ง บริษัท อัลฟา เอกซ์ จำกัด เพื่อให้บริการทางการเงินอย่างครบวงจร ครอบคลุมสินเชื่อเช่าซื้อ ลีสซิ่ง และสินเชื่อรีไฟแนนซ์ สำหรับยานยนต์ระดับลักชัวรี่และมารีน เจาะกลุ่มลูกค้าพรีเมียม-ลักชัวรี่ พร้อมเล็งเห็นความต้องการด้านประกันภัยจากกลุ่มลูกค้าของกลุ่มบริษัทฯ จึงขยายการลงทุนสู่ธุรกิจนายหน้าประกันภัย ผ่านการร่วมมือกับ ฮาวเด้น กรุ๊ป ซึ่งเป็นหนึ่งในโบรกเกอร์รายใหญ่ที่สุดในยุโรปและมีชื่อเสียงระดับโลก เพื่อขยายระบบนิเวศทางธุรกิจตามยุทธศาสตร์ของกลุ่มบริษัทฯ และสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน
นางสาวเจิดนภางค์ ธรรมชวนวิริยะ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการเงินและบัญชีกลุ่ม บริษัท มิลเลนเนียม กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น (เอเชีย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แม้ภาพรวมเศรษฐกิจทั่วโลกได้รับผลกระทบจากภาวะเงินเฟ้อและสถานการณ์แพร่ระบาดของ โควิด-19 แต่ตลาดลักชัวรี่เป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบน้อยกว่าเซกเมนต์อื่นๆ และในบางภูมิภาคสามารถเติบโตสวนกระแสจากการขยายตัวของฐานลูกค้าที่มีอายุเฉลี่ยต่ำลงและมีความต้องการเพิ่มต่อเนื่อง ขณะที่ภาพรวมอุตสาหกรรมยานยนต์แม้ได้รับผลกระทบจากปัญหาชิ้นส่วนขาดแคลน แต่ตลาดรถยนต์ระดับลักชัวรี่ยังเป็นที่ต้องการสูง สะท้อนจากยานยนต์แบรนด์ชั้นนำระดับโลกที่สร้างยอดขายได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งบริษัทฯ ได้รับประโยชน์จากการมีพอร์ตธุรกิจที่หลากหลาย ครอบคลุมลูกค้าทุกเซกเมนต์ ทำให้ภาพรวมรายได้และกำไรของกลุ่มบริษัทฯ ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ขณะเดียวกัน ด้วยประสบการณ์ความเชี่ยวชาญในการบริหารความเสี่ยงและการปรับตัวทางกลยุทธ์ ทำให้กลุ่มบริษัทฯ มีผลประกอบการเติบโตอย่างมั่นคง โดยสะท้อนจากผลประกอบการในปี 2563 2564 และ 2565 กลุ่มบริษัทฯ มีรายได้รวม 20,275.3 ล้านบาท 21,350.3 ล้านบาท และ 23,076.2 ล้านบาท ตามลำดับ เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 6.7% ต่อปี เนื่องจากเศรษฐกิจที่ทยอย
ฟื้นตัวจากวิกฤตโควิด-19 ที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
กลุ่มบริษัทฯ มีกำไรสุทธิปี 2563 2564 และ 2565 อยู่ที่ 188.8 ล้านบาท 295.5 ล้านบาท และ 595.6 ล้านบาท ตามลำดับ จากการเพิ่มของรายได้จากการขายและบริการ การเพิ่มของอัตรากำไรขั้นต้น ขณะที่สัดส่วนต้นทุนการจัดจำหน่ายและค่าใช้จ่ายในการบริหารต่อรายได้รวมเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ตอกย้ำถึงความสามารถในการบริหารต้นทุนและค่าใช้จ่าย
ทั้งนี้ มิลเลนเนียม กรุ๊ป MGC-ASIA มีวัตถุประสงค์การระดมทุน เพื่อนำไปลงทุนในบริษัท อัลฟา เอกซ์ จำกัด บริษัท มาสเตอร์ มอเตอร์ เซอร์วิสเซส (ประเทศไทย) จำกัด รวมถึงชำระเงินกู้จากสถาบันการเงิน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนของกลุ่มบริษัทฯ เพื่อสร้างความแข็งแกร่งทางธุรกิจ รองรับการเติบโตในอนาคต
นายวราห์ สุจริตกุล ประธานกรรมการ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันซ่า จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า มิลเลนเนียม กรุ๊ปฯ MGC-ASIA มีแบรนด์ยานยนต์ชั้นนำอย่าง Rolls-Royce BMW และ MINI ที่ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าระดับกลางถึงบน รวมถึงมีบริการหลังการขาย ศูนย์ซ่อมบำรุงอิสระ บริการทางการเงิน ประกันภัย และบริการอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่องครบวงจร นอกจากนี้ยังมีโอกาสในการเติบโตจากการได้รับสิทธิที่จะลงทุนในแบรนด์ Peugeot Jeep และ Maserati ซึ่งเป็นแบรนด์ภายใต้กลุ่ม Stellantis รวมไปถึงแบรนด์ Aston Martin ผนวกกับสภาพอุตสาหกรรมที่เริ่มกลับสู่สภาวะปกติ การเพิ่มขึ้นของอุปสงค์และอุปทานภายหลังสถานการณ์ โควิด-19 โดยบริษัทฯ มีการเตรียมความพร้อมทั้งในด้านสินค้าและบริการเพื่อรองรับการเติบโตอย่างยั่งยืน ตอกย้ำความเป็นผู้นำธุรกิจค้าปลีกยานยนต์
ล่าสุด กลุ่มบริษัทฯ ได้รับอนุญาตให้เสนอขายหลักทรัพย์ จากสำนักงาน ก.ล.ต. แล้ว และอยู่ระหว่างพิจารณากำหนดช่วงเวลาและราคาที่จะเสนอขายหุ้นสามัญแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก โดยจะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไป
เป็นครั้งแรก (IPO) รวมไม่เกิน 280,000,000 หุ้น หรือคิดเป็นไม่เกินร้อยละ 25.0 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญในครั้งนี้