จับประเด็นหุ้นเด่น
รายงานพิเศษ : LEO เปิดแผนปี66เน้น “Non Freight” โกลเบล็ก แนะ “เก็งกำไร”
05 เมษายน 2566
แนวทางการขยายธุรกิจของบมจ.ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ (LEO) ปี 2566 เน้นธุรกิจใหม่ Non Freight มาร์จิ้น แตะ 40-45% ดันรายได้โตยั่งยืน ขณะที่โกลเบล็กเชื่อผลประกอบการทยอยฟื้นตัว แนะ “เก็งกำไร”
กลยุทธ์การทำธุรกิจของ บมจ.ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ (LEO) ปีนี้ยังคงยึดมั่นเดินตามแผนยุทธศาสตร์ "365 Degree Collaboration" โดยนายเกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LEO ระบุว่า ปี 66 บริษัทตั้งเป้าเป็นปีแห่งการก้าวสู่ความเป็นบริษัท Blue Chip Stock ของผู้ให้บริการโลจิสติกส์แบบครบวงจรที่มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดและยั่งยืน
โดยวางเป้าการเติบโตของ Gross Profit Margin เพิ่มขึ้น 15-20% จากปีก่อน เน้นการลงทุนในธุรกิจใหม่ที่เป็น Non Freight และมีกำไรขั้นต้นมากกว่า 40-45% เช่น Self Storage, Container Depot, Warehouse & Logistics Center และ Cold Chain Logistics ผ่านการร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อพัฒนาโครงการ ใหม่ๆ ซึ่งเมื่อรวมรายได้จากบริษัท JV ใหม่ที่เกิดขึ้นและการขยายงานของทางบริษัทฯ ทำให้รายได้ของธุรกิจ Non-Freight ของบริษัทฯ มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า
"บริษัทเชื่อมั่นว่าในปี 66 จะยังคงรักษาระดับการเติบโตของกำไรขั้นต้นและผลประกอบการอย่างต่อเนื่อง เพราะจะเริ่มรับรู้รายได้และกำไร จากโครงการ JV และ M&A ใหม่ๆ ที่เป็นทั้งการให้บริการ Freight , Non Freight และ New Business ในหลายๆ โครงการ เช่น การให้บริการขนส่งสินค้าข้ามพรมแดนโดยรถบรรทุกและรถไฟ, การให้บริการตู้คอนเทนเนอร์สำหรับขนส่งผลไม้ไปยังประเทศจีน , การให้บริการลานเก็บตู้คอนเทนเนอร์ (Container Depot) แห่งที่ 2 ซึ่งได้เปิดดำเนินการเรียบร้อยแล้ว , การพัฒนาธุรกิจ Cold Chain Logistics ที่ บมจ. สหไทย เทอร์มินัล (PORT) , การพัฒนาโครงการ Warehouse & Logistics Center ร่วมกับ บริษัท เอชเค แอสเซท แมเนจเมนท์ จำกัด ในเครือ บมจ.เสนา ดีเวลอบเม้นท์ (SENA), การเปิดบริการ Self Storage แห่งที่ 3 และ 4 , การพัฒนาธุรกิจตัวแทนในการซื้อสินค้าจากประเทศไทยเพื่อส่งให้ E-commerce Platform ของ China Post และ Tengjin ภายใต้ชื่อ บริษัท LEO Sourcing & Supply Chain ที่ปัจจุบันมีคำสั่งซื้อสินค้าที่เป็นทุเรียนและผลไม้อื่นๆเข้ามาเป็นจำนวนมาก
รวมถึง โครงการ JV กับ บริษัท เบาไทย อินเด็กซ์ แอสโซซิเอท จำกัด และ บริษัท ศรีตรังโลจิสติกส์ จำกัด ที่เป็นตัวแทนอย่างเป็นทางการของทางการรถไฟจีนในการทำการตลาดการขนส่งทางรางไทย-จีนภายใต้ บริษัท LaneXang Express Company Limited และธุรกิจอื่นๆ ที่จะทยอยเกิดขึ้นในปี 66 นี้ ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการเติบโตทั้งในด้านธุรกิจและรายได้อย่างก้าวกระโดดในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ซึ่งจะทำให้รายได้ กำไรขั้นต้นและผลประกอบการของบริษัทฯเติบโตอย่างแข็งแกร่งและต่อเนื่อง
อีกทั้ง บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าเรื่องการเจรจาเพื่อซื้อกิจการ (M&A) กับพันธมิตรที่เป็นบริษัทชั้นนำทั้งในประเทศและต่างประเทศอีกหลายประเทศ เช่น ประเทศกัมพูชา สิงคโปร์ และจีน คาดว่าจะมีความชัดเจนในไตรมาส 2/66 และสามารถรับรู้รายได้ภายในไตรมาส 3-4/66 รวมถึงจะมีโครงการธุรกิจใหม่ๆ ที่จะสามารถสรุปได้ภายใน 1-2 เดือนข้างหน้า อีก 1-2 โครงการ ซึ่งการ M&A หลายๆ โครงการนี้ จะสนับสนุนการเติบโตทั้งในด้านธุรกิจและรายได้อย่างก้าวกระโดดด้วยเช่นเดียวกัน
ส่วนมุมมองของบริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก ระบุว่า แนวโน้มผลประกอบการ ไตรมาสแรกคาดเติบโตได้ดี โดยมีปัจจัยสนับสนุน จากการเริ่มรับรู้รายได้จากการขนส่งสินค้าทางรางไปยังประเทศจีน ขณะที่ในปี 2566 บริษัทคาดว่าผลประกอบการยังเติบโตต่อเนื่อง จากโครงการJV และการ M&A โดยบริษัทได้มีแผนลงทุนในธุรกิจใหม่ที่เป็น Non Freight ซึ่งมี Margin สูง 40-45% เช่นการให้บริการขนส่งสินค้าข้ามพรมแดนโดยรถบรรทุกและรถไฟ การให้บริการตู้คอนเทนเนอร์สำหรับขนส่งผลไม้ไปยังประเทศจีน (เปิดดำเนินการแล้ว) การพัฒนาธุรกิจCold Chain Logistics ที่บมจ.สหไทยเ ทอร์มินอล การพัฒนาโครงการ Warehouse& Logistics Center ร่วมกับบริษัทในเครือเสนา การเปิดบริการ Self Storage แห่งที่ 3 และ 4 การพัฒนาธุรกิจตัวแทนในการซื้อสินค้าจากประเทศไทยเพื่อส่งให้อีคอมเมิร์ซแพลตฟอร์มของไชน่าโพสต์และTengjin ที่ปัจจุบันมีคำสั่งซื้อสินค้าที่เป็นทุเรียนและผลไม้อื่นๆเข้ามาเป็นจำนวนมาก
ทั้งนี้แม้ราคาหุ้นปัจจุบันจะสูงกว่าราคาเป้าหมายของ Bloomberg Consensus แต่เราแนะนำ “เก็งกำไร” เนื่องจากมองว่า ผลประกอบการได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ในไตรมาส 4 ที่ผ่านมาและทยอยฟื้นตัวดีขึ้นโดยได้อานิสงส์จากการเปิดประเทศของจีน ส่งผลให้มีคำสั่งซื้อผลไม้กลับเข้ามาเป็นจำนวนมาก
กลยุทธ์การทำธุรกิจของ บมจ.ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ (LEO) ปีนี้ยังคงยึดมั่นเดินตามแผนยุทธศาสตร์ "365 Degree Collaboration" โดยนายเกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LEO ระบุว่า ปี 66 บริษัทตั้งเป้าเป็นปีแห่งการก้าวสู่ความเป็นบริษัท Blue Chip Stock ของผู้ให้บริการโลจิสติกส์แบบครบวงจรที่มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดและยั่งยืน
โดยวางเป้าการเติบโตของ Gross Profit Margin เพิ่มขึ้น 15-20% จากปีก่อน เน้นการลงทุนในธุรกิจใหม่ที่เป็น Non Freight และมีกำไรขั้นต้นมากกว่า 40-45% เช่น Self Storage, Container Depot, Warehouse & Logistics Center และ Cold Chain Logistics ผ่านการร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อพัฒนาโครงการ ใหม่ๆ ซึ่งเมื่อรวมรายได้จากบริษัท JV ใหม่ที่เกิดขึ้นและการขยายงานของทางบริษัทฯ ทำให้รายได้ของธุรกิจ Non-Freight ของบริษัทฯ มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า
"บริษัทเชื่อมั่นว่าในปี 66 จะยังคงรักษาระดับการเติบโตของกำไรขั้นต้นและผลประกอบการอย่างต่อเนื่อง เพราะจะเริ่มรับรู้รายได้และกำไร จากโครงการ JV และ M&A ใหม่ๆ ที่เป็นทั้งการให้บริการ Freight , Non Freight และ New Business ในหลายๆ โครงการ เช่น การให้บริการขนส่งสินค้าข้ามพรมแดนโดยรถบรรทุกและรถไฟ, การให้บริการตู้คอนเทนเนอร์สำหรับขนส่งผลไม้ไปยังประเทศจีน , การให้บริการลานเก็บตู้คอนเทนเนอร์ (Container Depot) แห่งที่ 2 ซึ่งได้เปิดดำเนินการเรียบร้อยแล้ว , การพัฒนาธุรกิจ Cold Chain Logistics ที่ บมจ. สหไทย เทอร์มินัล (PORT) , การพัฒนาโครงการ Warehouse & Logistics Center ร่วมกับ บริษัท เอชเค แอสเซท แมเนจเมนท์ จำกัด ในเครือ บมจ.เสนา ดีเวลอบเม้นท์ (SENA), การเปิดบริการ Self Storage แห่งที่ 3 และ 4 , การพัฒนาธุรกิจตัวแทนในการซื้อสินค้าจากประเทศไทยเพื่อส่งให้ E-commerce Platform ของ China Post และ Tengjin ภายใต้ชื่อ บริษัท LEO Sourcing & Supply Chain ที่ปัจจุบันมีคำสั่งซื้อสินค้าที่เป็นทุเรียนและผลไม้อื่นๆเข้ามาเป็นจำนวนมาก
รวมถึง โครงการ JV กับ บริษัท เบาไทย อินเด็กซ์ แอสโซซิเอท จำกัด และ บริษัท ศรีตรังโลจิสติกส์ จำกัด ที่เป็นตัวแทนอย่างเป็นทางการของทางการรถไฟจีนในการทำการตลาดการขนส่งทางรางไทย-จีนภายใต้ บริษัท LaneXang Express Company Limited และธุรกิจอื่นๆ ที่จะทยอยเกิดขึ้นในปี 66 นี้ ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการเติบโตทั้งในด้านธุรกิจและรายได้อย่างก้าวกระโดดในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ซึ่งจะทำให้รายได้ กำไรขั้นต้นและผลประกอบการของบริษัทฯเติบโตอย่างแข็งแกร่งและต่อเนื่อง
อีกทั้ง บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าเรื่องการเจรจาเพื่อซื้อกิจการ (M&A) กับพันธมิตรที่เป็นบริษัทชั้นนำทั้งในประเทศและต่างประเทศอีกหลายประเทศ เช่น ประเทศกัมพูชา สิงคโปร์ และจีน คาดว่าจะมีความชัดเจนในไตรมาส 2/66 และสามารถรับรู้รายได้ภายในไตรมาส 3-4/66 รวมถึงจะมีโครงการธุรกิจใหม่ๆ ที่จะสามารถสรุปได้ภายใน 1-2 เดือนข้างหน้า อีก 1-2 โครงการ ซึ่งการ M&A หลายๆ โครงการนี้ จะสนับสนุนการเติบโตทั้งในด้านธุรกิจและรายได้อย่างก้าวกระโดดด้วยเช่นเดียวกัน
ส่วนมุมมองของบริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก ระบุว่า แนวโน้มผลประกอบการ ไตรมาสแรกคาดเติบโตได้ดี โดยมีปัจจัยสนับสนุน จากการเริ่มรับรู้รายได้จากการขนส่งสินค้าทางรางไปยังประเทศจีน ขณะที่ในปี 2566 บริษัทคาดว่าผลประกอบการยังเติบโตต่อเนื่อง จากโครงการJV และการ M&A โดยบริษัทได้มีแผนลงทุนในธุรกิจใหม่ที่เป็น Non Freight ซึ่งมี Margin สูง 40-45% เช่นการให้บริการขนส่งสินค้าข้ามพรมแดนโดยรถบรรทุกและรถไฟ การให้บริการตู้คอนเทนเนอร์สำหรับขนส่งผลไม้ไปยังประเทศจีน (เปิดดำเนินการแล้ว) การพัฒนาธุรกิจCold Chain Logistics ที่บมจ.สหไทยเ ทอร์มินอล การพัฒนาโครงการ Warehouse& Logistics Center ร่วมกับบริษัทในเครือเสนา การเปิดบริการ Self Storage แห่งที่ 3 และ 4 การพัฒนาธุรกิจตัวแทนในการซื้อสินค้าจากประเทศไทยเพื่อส่งให้อีคอมเมิร์ซแพลตฟอร์มของไชน่าโพสต์และTengjin ที่ปัจจุบันมีคำสั่งซื้อสินค้าที่เป็นทุเรียนและผลไม้อื่นๆเข้ามาเป็นจำนวนมาก
ทั้งนี้แม้ราคาหุ้นปัจจุบันจะสูงกว่าราคาเป้าหมายของ Bloomberg Consensus แต่เราแนะนำ “เก็งกำไร” เนื่องจากมองว่า ผลประกอบการได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ในไตรมาส 4 ที่ผ่านมาและทยอยฟื้นตัวดีขึ้นโดยได้อานิสงส์จากการเปิดประเทศของจีน ส่งผลให้มีคำสั่งซื้อผลไม้กลับเข้ามาเป็นจำนวนมาก