จับประเด็นหุ้นเด่น
รายงานพิเศษ : “กลุ่ม 9 Basil” เข้าถือหุ้น TIDLOR เชื่อมั่นศักยภาพเติบโต
10 เมษายน 2566
กลุ่ม 9 Basil เข้าถือหุ้น บมจ.เงินติดล้อ (TIDLOR) ผ่าน SACA สะท้อนบริษัทฐานะมั่นคงแข็งแกร่งมีศักยภาพการเติบโต ขณะที่ปี 65 รายได้เติบโต 27% กำไรเพิ่ม 15%
นายปิยะศักดิ์ อุกฤษฎ์นุกูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.เงินติดล้อ (TIDLOR) ชี้แจงถึงการขายหุ้นของบริษัทว่า เมื่อไม่นานมานี้ บริษัทฯได้รับแจ้งจาก SIAM ASIA CREDIT ACCESS PTE. LTD. (SACA) หนึ่งในผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ที่จะมีการปรับโครงสร้างการถือหุ้น TIDLOR เพื่อให้ผู้ถือหุ้นของ SACA ซึ่งประกอบด้วยกลุ่ม 9 Basil สามารถเข้าถือหุ้นติดล้อได้โดยตรง
โดยเหตุการณ์ดังกล่าว SACA มิได้มีการขายหุ้น TIDLOR ออกไปยังภายนอกแต่อย่างใด เป็นเพียงการปรับโครงสร้างการถือหุ้นไปยังผู้ถือหุ้นของ SACA เอง และปัจจุบันยังเป็นการถือหุ้นร่วมกันของบริษัทในกลุ่ม SACA โดยมีสัดส่วน 25% เช่นเดิม
ซึ่งยืนยันได้จากข้อมูลตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ณ วันที่ 8 เม.ย. 2566 พบว่า ผู้ถือหุ้น 3 อันดับแรกของบริษัท ได้แก่
1. ธนาคาร กรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) มีจำนวนหุ้น 749,210,570 ร้อยละ 30.00
2. SIAM ASIA CREDIT ACCESS PTE. LTD. มีจำนวนหุ้น 624,342,093 ร้อยละ25.00
3. SOUTH EAST ASIA UK (TYPE C) NOMINEES LIMITED มีจำนวนหุ้น105,261,096 ร้อยละ 4.21
สำหรับกองทุนไนน์ เบซิล (9 Basil) ที่เข้ามาถือหุ้นโดยตรงใน TIDLOR มีวัตถุประสงค์การจัดตั้ง เพื่อจัดสรรการลงทุนในธุรกิจในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยกองทุนไนน์ เบซิลได้รับการสนับสนุนจากนักธุรกิจชั้นนำของเอเชียมากมาย โดยเงินทุนดังกล่าวจะนำไปลงทุนในธุรกิจบริการด้านการเงินสินค้าอุปโภคบริโภค ธุรกิจการจัดการและกระจายสินค้า และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ รวมทั้งธุรกิจบริหารจัดการสินทรัพย์
ถือเป็นสถาบันที่เลือกลงทุนกับธุรกิจและองค์กรชั้นนำที่มีศักยภาพสร้างการเติบโตทางธุรกิจได้ในอนาคต จึงถือเป็นเรื่องน่ายินดีที่หุ้น TIDLOR ได้รับความสนใจร่วมลงทุนโดยตรงจากกลุ่ม 9 Basil
ขณะที่ผลการดำเนินงานของ TIDLOR ในปี 2565 บริษัทยังเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง ทั้งธุรกิจสินเชื่อจำนำทะเบียนรถและธุรกิจนายหน้าประกันภัย ตอบรับเศรษฐกิจที่กลับมาฟื้นตัวภายหลัง การคลี่คลายของ การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 แม้จะได้รับแรงกดดันจากภาวะเงินเฟ้อและ แนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้น โดยบริษัทฯมีรายได้รวม 15,274 ล้านบาท เติบโต 27% และมีกำไรสุทธิ 3,640 ล้านบาท ปรับตัวขึ้น 15% จากปีก่อน
โดยพอร์ตสินเชื่อจำนำทะเบียนรถขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็น 81,265 ล้านบาท เติบโตถึง 32% จากความสำเร็จของบัตรติดล้อ (TIDLOR Card) ทั้งสำหรับรถมอเตอร์ไซค์และรถยนต์ การขยายสาขาอย่างมีประสิทธิภาพ และการออกแคมเปญในปีที่ผ่านมา รวมถึงความต้องการสินเชื่อที่เพิ่มขึ้นของกลุ่มผู้ประกอบการรายย่อยเพื่อเสริมสภาพคล่อง และเตรียมความพร้อมสำหรับการกลับมาดำเนินธุรกิจ ประกอบกับธุรกิจนายหน้าประกันภัยที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ค่าเบี้ยประกันวินาศภัยในปี 2565 สูงเกือบ 7 พันล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 34% จากปีที่ผ่านมา โดยยังคงการเติบโตได้ดี ในระดับ 30-35% ตามเป้าหมายที่วางไว้ในปีที่ผ่านมา
ขณะที่ บล.แลนด์แอนด์เฮ้าส์ วิเคราะห์หุ้น โดยยังแนะนำ “ซื้อลงทุน” โดยปรับลดราคาเป้าหมายลงอีกเล็กน้อยที่ 32 บ. (ก่อน XD) ราคาหลัง XD อยู่ที่ 29 บ. ภายใต้วิธี GGM บนสมมติฐาน Long term ROE ที่ 15% Long Term Growth 9% และ COE ที่ 11% (อิง 3xPBV23F เทียบเท่า 21x PER23F) โดยเชื่อว่า TIDLOR ยังมีความสามารถในการทำกำไรที่ดีและยังโตต่อเนื่อง บนความระมัดระวังมากขึ้น
นายปิยะศักดิ์ อุกฤษฎ์นุกูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.เงินติดล้อ (TIDLOR) ชี้แจงถึงการขายหุ้นของบริษัทว่า เมื่อไม่นานมานี้ บริษัทฯได้รับแจ้งจาก SIAM ASIA CREDIT ACCESS PTE. LTD. (SACA) หนึ่งในผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ที่จะมีการปรับโครงสร้างการถือหุ้น TIDLOR เพื่อให้ผู้ถือหุ้นของ SACA ซึ่งประกอบด้วยกลุ่ม 9 Basil สามารถเข้าถือหุ้นติดล้อได้โดยตรง
โดยเหตุการณ์ดังกล่าว SACA มิได้มีการขายหุ้น TIDLOR ออกไปยังภายนอกแต่อย่างใด เป็นเพียงการปรับโครงสร้างการถือหุ้นไปยังผู้ถือหุ้นของ SACA เอง และปัจจุบันยังเป็นการถือหุ้นร่วมกันของบริษัทในกลุ่ม SACA โดยมีสัดส่วน 25% เช่นเดิม
ซึ่งยืนยันได้จากข้อมูลตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ณ วันที่ 8 เม.ย. 2566 พบว่า ผู้ถือหุ้น 3 อันดับแรกของบริษัท ได้แก่
1. ธนาคาร กรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) มีจำนวนหุ้น 749,210,570 ร้อยละ 30.00
2. SIAM ASIA CREDIT ACCESS PTE. LTD. มีจำนวนหุ้น 624,342,093 ร้อยละ25.00
3. SOUTH EAST ASIA UK (TYPE C) NOMINEES LIMITED มีจำนวนหุ้น105,261,096 ร้อยละ 4.21
สำหรับกองทุนไนน์ เบซิล (9 Basil) ที่เข้ามาถือหุ้นโดยตรงใน TIDLOR มีวัตถุประสงค์การจัดตั้ง เพื่อจัดสรรการลงทุนในธุรกิจในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยกองทุนไนน์ เบซิลได้รับการสนับสนุนจากนักธุรกิจชั้นนำของเอเชียมากมาย โดยเงินทุนดังกล่าวจะนำไปลงทุนในธุรกิจบริการด้านการเงินสินค้าอุปโภคบริโภค ธุรกิจการจัดการและกระจายสินค้า และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ รวมทั้งธุรกิจบริหารจัดการสินทรัพย์
ถือเป็นสถาบันที่เลือกลงทุนกับธุรกิจและองค์กรชั้นนำที่มีศักยภาพสร้างการเติบโตทางธุรกิจได้ในอนาคต จึงถือเป็นเรื่องน่ายินดีที่หุ้น TIDLOR ได้รับความสนใจร่วมลงทุนโดยตรงจากกลุ่ม 9 Basil
ขณะที่ผลการดำเนินงานของ TIDLOR ในปี 2565 บริษัทยังเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง ทั้งธุรกิจสินเชื่อจำนำทะเบียนรถและธุรกิจนายหน้าประกันภัย ตอบรับเศรษฐกิจที่กลับมาฟื้นตัวภายหลัง การคลี่คลายของ การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 แม้จะได้รับแรงกดดันจากภาวะเงินเฟ้อและ แนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้น โดยบริษัทฯมีรายได้รวม 15,274 ล้านบาท เติบโต 27% และมีกำไรสุทธิ 3,640 ล้านบาท ปรับตัวขึ้น 15% จากปีก่อน
โดยพอร์ตสินเชื่อจำนำทะเบียนรถขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็น 81,265 ล้านบาท เติบโตถึง 32% จากความสำเร็จของบัตรติดล้อ (TIDLOR Card) ทั้งสำหรับรถมอเตอร์ไซค์และรถยนต์ การขยายสาขาอย่างมีประสิทธิภาพ และการออกแคมเปญในปีที่ผ่านมา รวมถึงความต้องการสินเชื่อที่เพิ่มขึ้นของกลุ่มผู้ประกอบการรายย่อยเพื่อเสริมสภาพคล่อง และเตรียมความพร้อมสำหรับการกลับมาดำเนินธุรกิจ ประกอบกับธุรกิจนายหน้าประกันภัยที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ค่าเบี้ยประกันวินาศภัยในปี 2565 สูงเกือบ 7 พันล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 34% จากปีที่ผ่านมา โดยยังคงการเติบโตได้ดี ในระดับ 30-35% ตามเป้าหมายที่วางไว้ในปีที่ผ่านมา
ขณะที่ บล.แลนด์แอนด์เฮ้าส์ วิเคราะห์หุ้น โดยยังแนะนำ “ซื้อลงทุน” โดยปรับลดราคาเป้าหมายลงอีกเล็กน้อยที่ 32 บ. (ก่อน XD) ราคาหลัง XD อยู่ที่ 29 บ. ภายใต้วิธี GGM บนสมมติฐาน Long term ROE ที่ 15% Long Term Growth 9% และ COE ที่ 11% (อิง 3xPBV23F เทียบเท่า 21x PER23F) โดยเชื่อว่า TIDLOR ยังมีความสามารถในการทำกำไรที่ดีและยังโตต่อเนื่อง บนความระมัดระวังมากขึ้น