จับประเด็นหุ้นเด่น
สัมภาษณ์พิเศษ : TPCH บุกตลาดคาร์บอนเครดิต สร้างการเติบโตที่ยั่งยืน
11 เมษายน 2566
กระแสพลังงานหมุนเวียนยังได้รับความสนใจอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงที่ราคาน้ำมันปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง รวมทั้งผลพลอยได้จาการผลิตไฟฟ้าพลังงานสะอาดทั้งคาร์บอนเครดิต และ REC ซึ่ง กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ทีพีซี เพาเวอร์ โฮลดิ้ง (TPCH) “เชิดศักดิ์ วัฒนวิจิตรกุล” จะมีมุมมองในเรื่องนี้อย่างไร เราไปติดตามกัน
ธุรกิจพลังงานทดแทนของบริษัท
เรื่องตัวธุรกิจพลังงานทดแทน TPCH โครงสร้างปัจจุบันมีธุรกิจพลังงานทดแทนหลักๆ 2 ประเภท โรงไฟฟ้าชีวมวล ปัจจุบันมีกำลังการผลิต 120 MW และโรงไฟฟ้าขยะชุมชน มีกำลังการผลิต 10 MW รวมเป็น 130 MW
ภาพรวม 300 MW จะมาจากไหน
บริษัทกำลังศึกษาโปรเจคในต่างประเทศ จะมีเรื่องของ Solar และพลังงานลม โดยความชัดเจนจะไม่เกินไตรมาส 2 ปีนี้ เราจะมีการประกาศว่าไปลงทุนที่ไหน และมีลักษณะอย่างไร
ปี 66 ปัจจัยที่ทำให้กำไรโตมาจากธุรกิจอะไร
ปีนี้เราตั้งเป้ามีกำไร 300-400 ล้านบาท รายได้อยู่ที่ประมาณ 4,000 ล้านบาท โดยถ้ารับรู้โรงไฟฟ้าทั้งหมด 130 MW รายได้จะแตะ 3,000 ล้านบาท และมี Net Profit Margin อยู่ที่ประมาณ 10-15%
ปีนี้โรงไฟฟ้าของเราจะมีโรงไฟฟ้าประมาณ 25 MW ซึ่งปัจจุบันยังขาดทุนอยู่ แต่ในปี 66 เรามีแผนจะจัดการกับโรงไฟฟ้าใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งจะหยุดในเรื่องของการขาดทุนโรงไฟฟ้า และจะทำให้กำไรของบริษัทกลับมาเป็นปกติ นอกจากนี้ยังมีโปรเจคที่จะเกิดขึ้นภายในปีนี้อีกด้วย
โปรเจคที่จะเกิดขึ้นปีนี้เป็นอย่างไร
ในส่วนของแผนที่จะไปให้ถึง 300 MW ในด้านของชีวมวล ในด้านของประเทศไทย หรือการประกาศเรื่องโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนของภาครัฐ ซึ่ง TPCH ไม่ได้เข้าประมูลในเรื่องของโซลาร์เลย เพราะเราจะมีโครงการในต่างประเทศที่กำลังจะไป ซึ่งให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าที่ได้ในประเทศที่กำลังประมูลกันอยู่
ส่วนในประเทศไทย เรามองเรื่องของโรงไฟฟ้าขยะชุมชน ซึ่งเราลงทุนผ่านบริษัทย่อย สยาม เพาเวอร์ ที่ถือหุ้น 50% ปัจจุบันได้รับการโปรโมท อีก 1 โครงการแล้ว กำลังอยู่ในขั้นตอนของการรอเซ็นสัญญา PPA และเรามีแผนจะพัฒนาโรงไฟฟ้าขยะชุมชนในประเทศไทยอีกอย่างน้อย 50 MW
ดังนั้นภาพโดยรวมปีนี้เราจะเติบโต จาก ในประเทศผ่านโครงการโรงไฟฟ้าขยะชุมชน ส่วนในต่างประเทศจะเติบโตจาก Solar farm
โครงการที่ COD แล้ว
บริษัทมีเป้าหมายที่จะ COD ทั้งหมดอีก 6 MW แบ่งเป็น 3 MW กับ 3 MW โดยเป็นโครงการโรงไฟฟ้าประชารัฐ ที่มีลักษณะเป็นชีวมวล ที่ TPCH เราไปถือหุ้นร่วมกับบริษัทลูกของการไฟฟ้า โดยจุดหมายเพื่อช่วยเหลือชาวบ้านในพื้นที่ให้มีรายได้ โดยอยู่ที่จังหวัดยะลา และจังหวัดปัตตานี
มองตลาดต่างประเทศอย่างไร
หลักๆมองไปที่ สปป.ลาว และกัมพูชา รวมถึงเวียดนาม ตอนนี้ศึกษาทั้ง 3 ประเทศ แต่จะขึ้นที่ประเทศไหนจะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง ซึ่งขั้นตอนตอนนี้บอร์ดได้อนุมัติแล้ว ทำดิวดีลิเจนท์แล้ว ทั้งเรื่องไฟแนนซ์ เทคนิค และอัตราผลตอบแทน ซึ่งการประชุมผู้ถือหุ้น เดือนเม.ย. นี้จะแจ้งให้ผู้ถือหุ้นทราบ
อีกจุดหนึ่ง บริษัทมองว่าการลงทุนในต่างประเทศจะดีกว่าในประเทศไทย โดยเฉพาะเรื่องคาร์บอนเครดิต ซึ่งสอดคล้องกับที่ TPCH ได้รางวัล ESG ต่อเนื่อง 6 ปีติดต่อกัน ปัจจุบันโครงการที่ทำในประเทศไทยทั้งหมด ภาคเอกชนไม่ได้รับคาร์บอนเครดิต เป็นภาครัฐบาลที่จะได้ไป แต่ในต่างประเทศคาร์บอนเครดิตจะเป็นของเรา และในปีที่ผ่านมา TPCH ได้พัฒนาตัวคาร์บอนเครดิตที่ชื่อ ใบรับรองการผลิตพลังงานหมุนเวียนหรือ REC ซึ่งเป็นคาร์บอนเครดิตที่มีการซื้อขายกันในกลุ่มของโรงไฟฟ้า ปี65 บริษัทได้ขายคาร์บอนเครดิตให้กับบริษัทในญี่ปุ่น คือกลุ่มคันไซ ก็เป็นการเปิดตลาดของ REC
ภาพโดยรวม TPCH
จะมี REC ประมาณปีละ 450,000 หน่วย ดังนั้นเรื่องของ Global trend และเรื่องของโลกร้อนเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก
ความแตกต่างระหว่าง REC กับ คาร์บอนเครดิต
REC เป็นการซื้อขายคาร์บอนในกลุ่มของโรงไฟฟ้า ซึ่งราคาอยู่ที่ 1-2 ดอลลาร์ต่อตันไฟฟ้า แต่ราคาก็ขึ้นกับคุณภาพด้วย โดยถ้าเป็นสิ่งที่ได้จากโรงไฟฟ้าโซลาร์ และลม ถือว่าเป็นอะไรที่สะอาดสุด ราคาของ REC ก็จะสูง ถ้าเป็นไฟฟ้าที่ผลิตจากเขื่อนราคาจะต่ำลง เพราะการผลิตไฟฟ้าจากเขื่อนของตัดต้นไม้
ตัวคาร์บอนเครดิตราคาซื้อขาย ถ้าตลาดที่เป็นภาคบังคับราคาอยู่ที่ประมาณ 100 ดอลลาร์ต่อตัน ทำให้ทิศทางตลาดต่างประเทศเป็นธุรกิจที่เราจะมุ่งไป เพราะตลาดมีมูลค่ามหาศาล
การขายคาร์บอนและ REC
เรื่อง REC เราเริ่มขายตั้งแต่ปีที่แล้ว เรื่องคาร์บอนเครดิต เราจดทะเบียนอยู่ โดยจดในต่างประเทศและในประเทศ ทำให้เราไม่เข้าประมูลในประเทศ
สัดส่วนรายได้
รายได้ต่างประเทศ ทั้งค่าไฟและคาร์บอน ภายใน 2 ปี คิดว่าสัดส่วนเกิน 50% จากโครงการที่เราพัฒนา
ทิศทางคาร์บอนเครดิต
วันนี้ดีมาน์จะเพิ่มขึ้น ดังนั้นภาคบังคับ คนที่ปล่อยจะต้องซื้อเพื่อชดเชย ทำให้แนวโน้มยังปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งคาดว่าตลาดจะเริ่มบูมภายใน 2 ปี และเป็นช่วงที่บริษัทมีสินค้ามากพอในการขาย
พูดถึงบริษัทในเครือ
เราแบ่งโครงสร้างเป็นในประเทศ คือโรงไฟฟ้าขยะชีวมวล เราบุกตลาดขยะชุมชน โดยตั้งเป้า 50 mw ส่วนในต่างประเทศ จะมีรายได้ทั้งค่าไฟ และคาร์บอนเครดิต ซึ่งรูปแบบการลงทุนในต่างประเทศ IRR ที่เราคิดอีก 2 ปี TPCH จะเป็น Holding Company ที่มีกระแสเงินสดมากขึ้น โรงไฟฟ้าโซลาร์และโรงไฟฟ้าพลังงานลม ผลตอบแทนจะได้เร็ว เพราะการก่อสร้างไม่ยุ่งยาก และบริษัทเคยทำเรื่องของชีวมวลและขยะ ทำให้สร้างโรงไฟฟ้าได้ง่ายขึ้น
แนวคิดการติดโซลาร์พร้อมแบตเตอรี่
ยังมีราคาแพง ซึ่งจะคุ้มกับกลุ่มโรงงานมากกว่าบ้านพักอาศัย เพราะตัวแบตเตอรี่ยังแพงเงินลงทุน 1 MW ชั่วโมง อยู่ที่ 10 ล้านบาท ถ้าติดโซลาร์เงินลงทุน 19 ล้านบาทต่อ 1 MWใน 5 ชั่วโมง หรือ 4 ล้านบาท อยู่ที่ 1MW ชั่วโมง ถ้าราคาแบตเตอรี่ลดลงจะคุ้มมากกว่า
เราเป็นหุ้นแบบไหนในสายตานักลงทุน
เราตั้งเป้าเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน ที่เน้นติดตามภาวะโลกร้อนและมุ่งเน้นการพัฒนาตลาดคาร์บอน ซึ่งเราเชื่อว่าในอนาคตอีก 2 ปี จะมีมูลค่ามหาศาล เพราะเป็นตลาดที่ทั่วโลกให้การลงทุน ซึ่งอาจมีการซื้อขายเหมือนตลาดหุ้น
ด้านผลตอบแทนให้กับนักลงทุน
ปี 2566 ในการประชุมผู้ถือหุ้นจะมีการพูดถึงกลยุทธ์โรงไฟฟ้าที่ขาดทุนและการเติบโตในต่างประเทศ ดังนั้นเรื่องของกำไร เชื่อว่าจะ Recover และกลับมามีกำไรมากกว่าปี 2563 ที่เคยทำไว้
ธุรกิจพลังงานทดแทนของบริษัท
เรื่องตัวธุรกิจพลังงานทดแทน TPCH โครงสร้างปัจจุบันมีธุรกิจพลังงานทดแทนหลักๆ 2 ประเภท โรงไฟฟ้าชีวมวล ปัจจุบันมีกำลังการผลิต 120 MW และโรงไฟฟ้าขยะชุมชน มีกำลังการผลิต 10 MW รวมเป็น 130 MW
ภาพรวม 300 MW จะมาจากไหน
บริษัทกำลังศึกษาโปรเจคในต่างประเทศ จะมีเรื่องของ Solar และพลังงานลม โดยความชัดเจนจะไม่เกินไตรมาส 2 ปีนี้ เราจะมีการประกาศว่าไปลงทุนที่ไหน และมีลักษณะอย่างไร
ปี 66 ปัจจัยที่ทำให้กำไรโตมาจากธุรกิจอะไร
ปีนี้เราตั้งเป้ามีกำไร 300-400 ล้านบาท รายได้อยู่ที่ประมาณ 4,000 ล้านบาท โดยถ้ารับรู้โรงไฟฟ้าทั้งหมด 130 MW รายได้จะแตะ 3,000 ล้านบาท และมี Net Profit Margin อยู่ที่ประมาณ 10-15%
ปีนี้โรงไฟฟ้าของเราจะมีโรงไฟฟ้าประมาณ 25 MW ซึ่งปัจจุบันยังขาดทุนอยู่ แต่ในปี 66 เรามีแผนจะจัดการกับโรงไฟฟ้าใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งจะหยุดในเรื่องของการขาดทุนโรงไฟฟ้า และจะทำให้กำไรของบริษัทกลับมาเป็นปกติ นอกจากนี้ยังมีโปรเจคที่จะเกิดขึ้นภายในปีนี้อีกด้วย
โปรเจคที่จะเกิดขึ้นปีนี้เป็นอย่างไร
ในส่วนของแผนที่จะไปให้ถึง 300 MW ในด้านของชีวมวล ในด้านของประเทศไทย หรือการประกาศเรื่องโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนของภาครัฐ ซึ่ง TPCH ไม่ได้เข้าประมูลในเรื่องของโซลาร์เลย เพราะเราจะมีโครงการในต่างประเทศที่กำลังจะไป ซึ่งให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าที่ได้ในประเทศที่กำลังประมูลกันอยู่
ส่วนในประเทศไทย เรามองเรื่องของโรงไฟฟ้าขยะชุมชน ซึ่งเราลงทุนผ่านบริษัทย่อย สยาม เพาเวอร์ ที่ถือหุ้น 50% ปัจจุบันได้รับการโปรโมท อีก 1 โครงการแล้ว กำลังอยู่ในขั้นตอนของการรอเซ็นสัญญา PPA และเรามีแผนจะพัฒนาโรงไฟฟ้าขยะชุมชนในประเทศไทยอีกอย่างน้อย 50 MW
ดังนั้นภาพโดยรวมปีนี้เราจะเติบโต จาก ในประเทศผ่านโครงการโรงไฟฟ้าขยะชุมชน ส่วนในต่างประเทศจะเติบโตจาก Solar farm
โครงการที่ COD แล้ว
บริษัทมีเป้าหมายที่จะ COD ทั้งหมดอีก 6 MW แบ่งเป็น 3 MW กับ 3 MW โดยเป็นโครงการโรงไฟฟ้าประชารัฐ ที่มีลักษณะเป็นชีวมวล ที่ TPCH เราไปถือหุ้นร่วมกับบริษัทลูกของการไฟฟ้า โดยจุดหมายเพื่อช่วยเหลือชาวบ้านในพื้นที่ให้มีรายได้ โดยอยู่ที่จังหวัดยะลา และจังหวัดปัตตานี
มองตลาดต่างประเทศอย่างไร
หลักๆมองไปที่ สปป.ลาว และกัมพูชา รวมถึงเวียดนาม ตอนนี้ศึกษาทั้ง 3 ประเทศ แต่จะขึ้นที่ประเทศไหนจะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง ซึ่งขั้นตอนตอนนี้บอร์ดได้อนุมัติแล้ว ทำดิวดีลิเจนท์แล้ว ทั้งเรื่องไฟแนนซ์ เทคนิค และอัตราผลตอบแทน ซึ่งการประชุมผู้ถือหุ้น เดือนเม.ย. นี้จะแจ้งให้ผู้ถือหุ้นทราบ
อีกจุดหนึ่ง บริษัทมองว่าการลงทุนในต่างประเทศจะดีกว่าในประเทศไทย โดยเฉพาะเรื่องคาร์บอนเครดิต ซึ่งสอดคล้องกับที่ TPCH ได้รางวัล ESG ต่อเนื่อง 6 ปีติดต่อกัน ปัจจุบันโครงการที่ทำในประเทศไทยทั้งหมด ภาคเอกชนไม่ได้รับคาร์บอนเครดิต เป็นภาครัฐบาลที่จะได้ไป แต่ในต่างประเทศคาร์บอนเครดิตจะเป็นของเรา และในปีที่ผ่านมา TPCH ได้พัฒนาตัวคาร์บอนเครดิตที่ชื่อ ใบรับรองการผลิตพลังงานหมุนเวียนหรือ REC ซึ่งเป็นคาร์บอนเครดิตที่มีการซื้อขายกันในกลุ่มของโรงไฟฟ้า ปี65 บริษัทได้ขายคาร์บอนเครดิตให้กับบริษัทในญี่ปุ่น คือกลุ่มคันไซ ก็เป็นการเปิดตลาดของ REC
ภาพโดยรวม TPCH
จะมี REC ประมาณปีละ 450,000 หน่วย ดังนั้นเรื่องของ Global trend และเรื่องของโลกร้อนเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก
ความแตกต่างระหว่าง REC กับ คาร์บอนเครดิต
REC เป็นการซื้อขายคาร์บอนในกลุ่มของโรงไฟฟ้า ซึ่งราคาอยู่ที่ 1-2 ดอลลาร์ต่อตันไฟฟ้า แต่ราคาก็ขึ้นกับคุณภาพด้วย โดยถ้าเป็นสิ่งที่ได้จากโรงไฟฟ้าโซลาร์ และลม ถือว่าเป็นอะไรที่สะอาดสุด ราคาของ REC ก็จะสูง ถ้าเป็นไฟฟ้าที่ผลิตจากเขื่อนราคาจะต่ำลง เพราะการผลิตไฟฟ้าจากเขื่อนของตัดต้นไม้
ตัวคาร์บอนเครดิตราคาซื้อขาย ถ้าตลาดที่เป็นภาคบังคับราคาอยู่ที่ประมาณ 100 ดอลลาร์ต่อตัน ทำให้ทิศทางตลาดต่างประเทศเป็นธุรกิจที่เราจะมุ่งไป เพราะตลาดมีมูลค่ามหาศาล
การขายคาร์บอนและ REC
เรื่อง REC เราเริ่มขายตั้งแต่ปีที่แล้ว เรื่องคาร์บอนเครดิต เราจดทะเบียนอยู่ โดยจดในต่างประเทศและในประเทศ ทำให้เราไม่เข้าประมูลในประเทศ
สัดส่วนรายได้
รายได้ต่างประเทศ ทั้งค่าไฟและคาร์บอน ภายใน 2 ปี คิดว่าสัดส่วนเกิน 50% จากโครงการที่เราพัฒนา
ทิศทางคาร์บอนเครดิต
วันนี้ดีมาน์จะเพิ่มขึ้น ดังนั้นภาคบังคับ คนที่ปล่อยจะต้องซื้อเพื่อชดเชย ทำให้แนวโน้มยังปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งคาดว่าตลาดจะเริ่มบูมภายใน 2 ปี และเป็นช่วงที่บริษัทมีสินค้ามากพอในการขาย
พูดถึงบริษัทในเครือ
เราแบ่งโครงสร้างเป็นในประเทศ คือโรงไฟฟ้าขยะชีวมวล เราบุกตลาดขยะชุมชน โดยตั้งเป้า 50 mw ส่วนในต่างประเทศ จะมีรายได้ทั้งค่าไฟ และคาร์บอนเครดิต ซึ่งรูปแบบการลงทุนในต่างประเทศ IRR ที่เราคิดอีก 2 ปี TPCH จะเป็น Holding Company ที่มีกระแสเงินสดมากขึ้น โรงไฟฟ้าโซลาร์และโรงไฟฟ้าพลังงานลม ผลตอบแทนจะได้เร็ว เพราะการก่อสร้างไม่ยุ่งยาก และบริษัทเคยทำเรื่องของชีวมวลและขยะ ทำให้สร้างโรงไฟฟ้าได้ง่ายขึ้น
แนวคิดการติดโซลาร์พร้อมแบตเตอรี่
ยังมีราคาแพง ซึ่งจะคุ้มกับกลุ่มโรงงานมากกว่าบ้านพักอาศัย เพราะตัวแบตเตอรี่ยังแพงเงินลงทุน 1 MW ชั่วโมง อยู่ที่ 10 ล้านบาท ถ้าติดโซลาร์เงินลงทุน 19 ล้านบาทต่อ 1 MWใน 5 ชั่วโมง หรือ 4 ล้านบาท อยู่ที่ 1MW ชั่วโมง ถ้าราคาแบตเตอรี่ลดลงจะคุ้มมากกว่า
เราเป็นหุ้นแบบไหนในสายตานักลงทุน
เราตั้งเป้าเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน ที่เน้นติดตามภาวะโลกร้อนและมุ่งเน้นการพัฒนาตลาดคาร์บอน ซึ่งเราเชื่อว่าในอนาคตอีก 2 ปี จะมีมูลค่ามหาศาล เพราะเป็นตลาดที่ทั่วโลกให้การลงทุน ซึ่งอาจมีการซื้อขายเหมือนตลาดหุ้น
ด้านผลตอบแทนให้กับนักลงทุน
ปี 2566 ในการประชุมผู้ถือหุ้นจะมีการพูดถึงกลยุทธ์โรงไฟฟ้าที่ขาดทุนและการเติบโตในต่างประเทศ ดังนั้นเรื่องของกำไร เชื่อว่าจะ Recover และกลับมามีกำไรมากกว่าปี 2563 ที่เคยทำไว้