รัฐบาลประกาศเดินหน้าขับเคลื่อนเป้าหมายทางการแพทย์ สุขภาพ จากการสร้างมูลค่าเพิ่มสินค้าและบริการ สอดคล้องกับทิศทางธุรกิจ บริษัท เฮลท์ลีด (HL) ขึ้นทะเบียนนวัตกรรมใหม่ และเตรียมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่อีกประมาณ 5-10 รายการ ในปีนี้
รัฐบาลพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เดินหน้าผลักดันการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการขับเคลื่อนเป้าหมายทางการแพทย์ สุขภาพ และเร่งเติมเต็มธุรกิจทางการแพทย์ในไทยให้เป็นศูนย์กลางอาเซียน ผ่านการสร้างมูลค่าจากสินค้าและบริการด้านสุขภาพ ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนมูลค่าเพิ่ม GDP เป็น ร้อยละ 1.7
ซึ่งนายกรัฐมนตรี กำชับให้สร้างคุณค่าให้แก่สินค้าและบริการเชิงคุณภาพ พร้อมสร้างความเป็นธรรมในการเข้าถึงบริการสุขภาพ และพัฒนาบริหารภาวะฉุกเฉินด้านสุขภาพให้มีความพร้อม รวมทั้ง กระจายผลประโยชน์สู่ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องภายในประเทศอย่างทั่วถึงและเป็นรูปธรรม
หนึ่งในเป้าหมายสำคัญ คือ การพัฒนาไทยสู่การเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์และสุขภาพมูลค่าสูง โดยส่งเสริมการผลิตบุคลากร ยกระดับมาตรฐาน รวมถึงสนับสนุนให้มีการใช้ประโยชน์ ต่อยอดจากผลการศึกษาวิจัยและเทคโนโลยีที่ก้าวหน้ามาใช้ในกระบวนการรักษาพยาบาลเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม ในการยกระดับสู่การให้บริการบนฐานนวัตกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูง เพื่อมุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์และสุขภาพมูลค่าสูง
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนมูลค่าเพิ่ม GDP เป็นร้อยละ 1.7 สร้างองค์ความรู้ด้านการแพทย์และสาธารณสุข สร้างความเป็นธรรมในการเข้าถึงบริการสุขภาพ และพัฒนาบริหารภาวะฉุกเฉินด้านสุขภาพให้มีความพร้อม
นอกจากนี้ จากข้อมูลพบว่า มูลค่าของตลาดอุตสาหกรรมความงามไทยเติบโตขึ้นร้อยละ 5 มูลค่าสูงกว่า 1.4 แสนล้านบาท โดยคาดการณ์ว่า ไทยมีศักยภาพมากพอในการเป็นศูนย์กลางด้านความงามของอาเซียน เพราะตลาดผลิตภัณฑ์ประเภทเครื่องสำอางเติบโตขยายตัวมากที่สุดในกลุ่มอาเซียน อย่างไรก็ตามในปี พ.ศ. 2570 คาดการณ์ว่าผลิตภัณฑ์ดูแลผิวจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้น 1.6 แสนล้านบาท
แนวทางดังกล่าวสอดคล้องกับแผนการดำเนินงานของ บริษัท เฮลท์ลีด จำกัด (มหาชน) หรือ HL ซึ่ง “ ภก.ธัชพล ชลวัฒนสกุล” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ระบุ ปี 2566 บริษัทยังไม่หยุดนิ่งที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์นวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง ภายใต้บริษัท เฮลทิเนส จำกัด ที่ HLถือหุ้นในสัดส่วน 100% โดยคาดว่าจะเห็นการขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์นวัตกรรมใหม่ และเตรียมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่อีกประมาณ 5-10 รายการ ซึ่งส่วนนี้จะเข้ามาเสริมยอดขายและการเติบโตของบริษัทฯให้แข็งแกร่งต่อไป
ขณะเดียวกันตั้งเป้ารายได้เติบโตมากกว่า 20% จากปีก่อน โดยบริษัทฯมีแผนเปิดสาขาใหม่อีก 14 แห่ง เน้นในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ทำให้ภายในสิ้นปีนี้จะมีสาขารวมทั้งสิ้น 50 สาขา จากปีก่อนที่มีสาขารวม 36 สาขา
โดยแต่ละสาขาจะมีขนาดพื้นที่แตกต่างกัน ซึ่งสาขาที่มีพื้นที่ประมาณ 70-80 ตารางเมตร คาดว่าจะใช้งบลงทุนราว 2 ล้านบาทต่อสาขา ขนาด 80-150 ตารางเมตร จะใช้งบลงทุน 2-3.5 ล้านบาทต่อสาขา และขนาด 150-300 ตารางเมตร ใช้งบลงทุน 3.5-6 ล้านบาทต่อสาขา โดยตั้งแต่ต้นปี 2566 บริษัทฯ ได้เปิดร้านขายยาแบรนด์iCareไปแล้ว3แห่ง ที่ตลาดเสรี พุทธมณฑล สาย 5, ท่าอิฐ นนทบุรี และตลาดธันยา อ้อมใหญ่ และปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินการอีก 2 สาขา ซึ่งคาดว่าจะเปิดร้านขายยาได้ในไตรมาส 2/2566
รัฐบาลพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เดินหน้าผลักดันการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการขับเคลื่อนเป้าหมายทางการแพทย์ สุขภาพ และเร่งเติมเต็มธุรกิจทางการแพทย์ในไทยให้เป็นศูนย์กลางอาเซียน ผ่านการสร้างมูลค่าจากสินค้าและบริการด้านสุขภาพ ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนมูลค่าเพิ่ม GDP เป็น ร้อยละ 1.7
ซึ่งนายกรัฐมนตรี กำชับให้สร้างคุณค่าให้แก่สินค้าและบริการเชิงคุณภาพ พร้อมสร้างความเป็นธรรมในการเข้าถึงบริการสุขภาพ และพัฒนาบริหารภาวะฉุกเฉินด้านสุขภาพให้มีความพร้อม รวมทั้ง กระจายผลประโยชน์สู่ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องภายในประเทศอย่างทั่วถึงและเป็นรูปธรรม
หนึ่งในเป้าหมายสำคัญ คือ การพัฒนาไทยสู่การเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์และสุขภาพมูลค่าสูง โดยส่งเสริมการผลิตบุคลากร ยกระดับมาตรฐาน รวมถึงสนับสนุนให้มีการใช้ประโยชน์ ต่อยอดจากผลการศึกษาวิจัยและเทคโนโลยีที่ก้าวหน้ามาใช้ในกระบวนการรักษาพยาบาลเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม ในการยกระดับสู่การให้บริการบนฐานนวัตกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูง เพื่อมุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์และสุขภาพมูลค่าสูง
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนมูลค่าเพิ่ม GDP เป็นร้อยละ 1.7 สร้างองค์ความรู้ด้านการแพทย์และสาธารณสุข สร้างความเป็นธรรมในการเข้าถึงบริการสุขภาพ และพัฒนาบริหารภาวะฉุกเฉินด้านสุขภาพให้มีความพร้อม
นอกจากนี้ จากข้อมูลพบว่า มูลค่าของตลาดอุตสาหกรรมความงามไทยเติบโตขึ้นร้อยละ 5 มูลค่าสูงกว่า 1.4 แสนล้านบาท โดยคาดการณ์ว่า ไทยมีศักยภาพมากพอในการเป็นศูนย์กลางด้านความงามของอาเซียน เพราะตลาดผลิตภัณฑ์ประเภทเครื่องสำอางเติบโตขยายตัวมากที่สุดในกลุ่มอาเซียน อย่างไรก็ตามในปี พ.ศ. 2570 คาดการณ์ว่าผลิตภัณฑ์ดูแลผิวจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้น 1.6 แสนล้านบาท
แนวทางดังกล่าวสอดคล้องกับแผนการดำเนินงานของ บริษัท เฮลท์ลีด จำกัด (มหาชน) หรือ HL ซึ่ง “ ภก.ธัชพล ชลวัฒนสกุล” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ระบุ ปี 2566 บริษัทยังไม่หยุดนิ่งที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์นวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง ภายใต้บริษัท เฮลทิเนส จำกัด ที่ HLถือหุ้นในสัดส่วน 100% โดยคาดว่าจะเห็นการขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์นวัตกรรมใหม่ และเตรียมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่อีกประมาณ 5-10 รายการ ซึ่งส่วนนี้จะเข้ามาเสริมยอดขายและการเติบโตของบริษัทฯให้แข็งแกร่งต่อไป
ขณะเดียวกันตั้งเป้ารายได้เติบโตมากกว่า 20% จากปีก่อน โดยบริษัทฯมีแผนเปิดสาขาใหม่อีก 14 แห่ง เน้นในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ทำให้ภายในสิ้นปีนี้จะมีสาขารวมทั้งสิ้น 50 สาขา จากปีก่อนที่มีสาขารวม 36 สาขา
โดยแต่ละสาขาจะมีขนาดพื้นที่แตกต่างกัน ซึ่งสาขาที่มีพื้นที่ประมาณ 70-80 ตารางเมตร คาดว่าจะใช้งบลงทุนราว 2 ล้านบาทต่อสาขา ขนาด 80-150 ตารางเมตร จะใช้งบลงทุน 2-3.5 ล้านบาทต่อสาขา และขนาด 150-300 ตารางเมตร ใช้งบลงทุน 3.5-6 ล้านบาทต่อสาขา โดยตั้งแต่ต้นปี 2566 บริษัทฯ ได้เปิดร้านขายยาแบรนด์iCareไปแล้ว3แห่ง ที่ตลาดเสรี พุทธมณฑล สาย 5, ท่าอิฐ นนทบุรี และตลาดธันยา อ้อมใหญ่ และปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินการอีก 2 สาขา ซึ่งคาดว่าจะเปิดร้านขายยาได้ในไตรมาส 2/2566