การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ส่งผลดีต่อธุรกิจขนส่งทางเรือ โดยเฉพาะการขนส่งผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูป และปิโตรเคมีเหลว รวมถึงผลงาน บริษัท พริมา มารีน (PRM) ที่ประกอบธุรกิจให้บริการขนส่งทางเรือให้ลูกค้า
การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกที่ปรับตัวดีขึ้นหลังการระบาดของโควิด 19 ในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ธุรกิจการขนส่งปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะการขนส่งสินค้าทางเรือ ที่มีค่าใช้จ่ายไม่สูงมากเมื่อเทียบกับการขนส่งประเภทอื่น รวมทั้งผลงานของบริษัท พริมา มารีน (PRM) ที่ประกอบธุรกิจให้บริการขนส่งและจัดเก็บน้ำมันดิบ ผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูป และปิโตรเคมีเหลว ทางเรือให้กับลูกค้าตามความต้องการอย่างครบวงจร รวมถึงการให้บริการเรือขนส่งที่ให้การสนับสนุนงานสำรวจและผลิตปิโตรเลียมกลางทะเล และการบริหารจัดการเรือ
โดยแบ่งเป็น 4 ประเภทธุรกิจหลัก ได้แก่ 1. ธุรกิจเรือขนส่งน้ำมันและปิโตรเคมีเหลว (ธุรกิจเรือขนส่งฯ) 2. ธุรกิจเรือขนส่งและจัดเก็บน้ำมัน (ธุรกิจเรือขนส่งและจัดเก็บ FSU) 3. ธุรกิจเรือขนส่งที่ให้การสนับสนุนงานสำรวจและผลิตปิโตรเลียมกลางทะเล (ธุรกิจเรือ Offshore) 4. ธุรกิจบริหารจัดการเรือ (ธุรกิจบริหารเรือ)
บล.ฟิลลิป วิเคราะห์หุ้น PRM โดยคาด 1Q66 กำไรอยู่ที่ 583 ล้านบาท +112.9% y-y, -15% q-q : คาดรายได้+58% y-y ที่ 2,330 ล้านบาท เนื่องจากธุรกิจส่วนใหญ่ที่ฟื้นตัวขึ้นตามสถานการณ์โควิดและจำนวนเรือที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเรือขนาดใหญ่ที่มีรายได้สูง ต้นทุนคาดเพิ่มขึ้น 38.8% ตามการขนส่งและจำนวนเรือที่เพิ่มขึ้น รวมไปถึง SG&A ที่คาดจะปรับตัวขึ้นเช่นกัน ประกอบกับเงินบาทที่แข็งค่าคาดจะมีกำไร FX ที่ 15 ล้านบาท จากปีก่อนที่ 7 ล้านบาท
แม้ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมลดลงจากการขายเรือออกไป ส่วนกำไรที่ลดลง q-q มาจากเรือ FSU 1 และ AWB 1 ลำที่ต้องเข้า Dry Dock รวมถึงเรือ AWB (เรือพักอาศัย) อีก 1 ลำ ซึ่งเช่ามาหมดสัญญา คาดรายได้-2.4% q-q อีกทั้งกำไรจาก FX ที่ลดลงไปมาก
พร้อมคาดการณ์ 2Q66 แนวโน้มดีต่อเนื่อง จากเรือที่เข้า Dry Dock จะกลับเข้ามา ทำงานในเดือน พ.ค. และยังเป็น high season ของการใช้ น้ำมันเครื่องบินทางภาคใต้ อีกทั้งเรือเคมีลำใหม่ขนาด 1 หมื่นเดทเวทตัน เริ่มงานใน 2Q66 รวมถึงผลบวกจากเรือที่รับมาระหว่างปี 2565 ช่วยหนุนการเติบโต y-y ดังนั้น แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมายสิ้นปี 66 ที่ 8.95 บาท
ขณะที่บทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์พาย ระบุว่า PRM มีแผนการขยายกองเรือน่าสนใจกว่าที่คิด โดยบริษัทเพิ่มเรือขนเคมีภัณฑ์มือ 2 (DWT11,000) เข้าพอร์ตด้วยงบลงทุน US$11 ล้านเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2563 ซึ่งมีปริมาตรขนส่งมากกว่าเรือขนเคมีภัณฑ์ 7 ลำของบริษัท (เฉลี่ย ณ ปัจจุบันลำล่ะ DWT3,000-7,000) ทั้งนี้ก็เพื่อรองรับลูกค้าใน ภูมิภาคเอเชียมากขึ้น
โดยแผนระยะยาวของ PRM คือการมีเรือประเภทนี้เพิ่มขึ้นเป็น 10-15 ลำ และก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในผู้เล่นระดับภูมิภาค โดยเราเชื่อว่าบริษัทมีเงินทุนมากพอที่จะทำเช่นนั้น ซึ่งจะทำให้บริษัทได้รับอานิสงส์จากสภาพตลาดที่เป็นใจในช่วงถัดไปและเป็นการกระจายความเสี่ยงจากที่เคยพึ่งพาแต่เรือขนส่งน้ำมันดิบ-น้ำมันที่ถูกกลั่น เป็นหลัก (90% ของปริมาณขนส่งในประเทศ)
โดยคาดว่าตลาดการขนส่งสินค้าเคมีภัณฑ์ทางทะเลตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นไปจะได้อานิสงส์จากสภาพตลาดที่มีปัจจัยบวกมากกว่าตลาดเรือขนส่งน้ำมัน อิงจากอุปสงค์จากจีนที่สูงขึ้นหลังกลับมาเปิดประเทศ และอุปทานสินค้าปิโตร-เคมีภัณฑ์ใหม่ๆ จากโรงกลั่นในภูมิภาคที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ในด้านอุปทานเรือขนส่งสินค้าเคมีภัณฑ์คาดว่าจะมีเรือเก่า 46% ที่ต้องขายซากทิ้งเพราะไม่เข้ากฎเกณฑ์ด้านสิ่งแวดล้อมใหม่ ทั้งนี้การหาเรือขนเคมีภัณฑ์มือสองเข้ามาก็ยังเป็นงานที่ท้าทาย ขณะที่การต่อเรือใหม่เลยต้องใช้เวลาอย่างน้อย 14-16 เดือนกว่าจะพร้อมปล่อยเช่า
พร้อมมองกิจการแข็งแกร่ง พร้อม upside จากกองเรือใหม่ ขณะที่หุ้นก็เทรดกันที่ส่วนลดที่จูงใจ โดยมูลค่าพื้นฐานของเราที่ 9.25 บาท อิง 12.0xPE'23E หรือค่าเฉลี่ย PE ย้อนหลัง 3 ปี ซึ่งใกล้ค่าเฉลี่ยกลุ่มขนส่งเอเชียที่ไม่รวมญี่ปุ่น
การปรับประมาณการกำไร เราปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2566 ขึ้น 30% เป็น 1.9 พันล้านบาท และปี 2567 ขึ้น 19% เป็น 1.8 พันล้านบาท หลังนับรวมอุปสงค์เรือ FSU ที่ดีกว่าคาด การนำเรือขนาดใหญ่เข้าอู่แห้งที่สิ้นสุดลงในปี 2566(คาดค่าใช้จ่ายอู่แห้งจะลดลงราว 40%) และอัตรากำไรที่แข็งแกร่งขึ้นจากทุกหน่วยธุรกิจ ด้วยเหตุนี้จึงปรับเพิ่มรายได้ขึ้น 10% และ 6% และเพิ่ม GPM ขึ้นเป็น 35.1% และ 34.1% ตามลำดับ เราจึงเพิ่มคำแนะนำเป็น "ซื้อ" มูลค่าพื้นฐาน 9.25 บาท (จาก 7.70 บาท) ปัจจุบันหุ้นซื้อขายต่ำ -2SD ต่อค่าเฉลี่ย 5 ปี ขณะที่มีเงินสดพร้อมลงทุนอยู่ 2.6 พันล้านบาท
การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกที่ปรับตัวดีขึ้นหลังการระบาดของโควิด 19 ในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ธุรกิจการขนส่งปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะการขนส่งสินค้าทางเรือ ที่มีค่าใช้จ่ายไม่สูงมากเมื่อเทียบกับการขนส่งประเภทอื่น รวมทั้งผลงานของบริษัท พริมา มารีน (PRM) ที่ประกอบธุรกิจให้บริการขนส่งและจัดเก็บน้ำมันดิบ ผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูป และปิโตรเคมีเหลว ทางเรือให้กับลูกค้าตามความต้องการอย่างครบวงจร รวมถึงการให้บริการเรือขนส่งที่ให้การสนับสนุนงานสำรวจและผลิตปิโตรเลียมกลางทะเล และการบริหารจัดการเรือ
โดยแบ่งเป็น 4 ประเภทธุรกิจหลัก ได้แก่ 1. ธุรกิจเรือขนส่งน้ำมันและปิโตรเคมีเหลว (ธุรกิจเรือขนส่งฯ) 2. ธุรกิจเรือขนส่งและจัดเก็บน้ำมัน (ธุรกิจเรือขนส่งและจัดเก็บ FSU) 3. ธุรกิจเรือขนส่งที่ให้การสนับสนุนงานสำรวจและผลิตปิโตรเลียมกลางทะเล (ธุรกิจเรือ Offshore) 4. ธุรกิจบริหารจัดการเรือ (ธุรกิจบริหารเรือ)
บล.ฟิลลิป วิเคราะห์หุ้น PRM โดยคาด 1Q66 กำไรอยู่ที่ 583 ล้านบาท +112.9% y-y, -15% q-q : คาดรายได้+58% y-y ที่ 2,330 ล้านบาท เนื่องจากธุรกิจส่วนใหญ่ที่ฟื้นตัวขึ้นตามสถานการณ์โควิดและจำนวนเรือที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเรือขนาดใหญ่ที่มีรายได้สูง ต้นทุนคาดเพิ่มขึ้น 38.8% ตามการขนส่งและจำนวนเรือที่เพิ่มขึ้น รวมไปถึง SG&A ที่คาดจะปรับตัวขึ้นเช่นกัน ประกอบกับเงินบาทที่แข็งค่าคาดจะมีกำไร FX ที่ 15 ล้านบาท จากปีก่อนที่ 7 ล้านบาท
แม้ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมลดลงจากการขายเรือออกไป ส่วนกำไรที่ลดลง q-q มาจากเรือ FSU 1 และ AWB 1 ลำที่ต้องเข้า Dry Dock รวมถึงเรือ AWB (เรือพักอาศัย) อีก 1 ลำ ซึ่งเช่ามาหมดสัญญา คาดรายได้-2.4% q-q อีกทั้งกำไรจาก FX ที่ลดลงไปมาก
พร้อมคาดการณ์ 2Q66 แนวโน้มดีต่อเนื่อง จากเรือที่เข้า Dry Dock จะกลับเข้ามา ทำงานในเดือน พ.ค. และยังเป็น high season ของการใช้ น้ำมันเครื่องบินทางภาคใต้ อีกทั้งเรือเคมีลำใหม่ขนาด 1 หมื่นเดทเวทตัน เริ่มงานใน 2Q66 รวมถึงผลบวกจากเรือที่รับมาระหว่างปี 2565 ช่วยหนุนการเติบโต y-y ดังนั้น แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมายสิ้นปี 66 ที่ 8.95 บาท
ขณะที่บทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์พาย ระบุว่า PRM มีแผนการขยายกองเรือน่าสนใจกว่าที่คิด โดยบริษัทเพิ่มเรือขนเคมีภัณฑ์มือ 2 (DWT11,000) เข้าพอร์ตด้วยงบลงทุน US$11 ล้านเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2563 ซึ่งมีปริมาตรขนส่งมากกว่าเรือขนเคมีภัณฑ์ 7 ลำของบริษัท (เฉลี่ย ณ ปัจจุบันลำล่ะ DWT3,000-7,000) ทั้งนี้ก็เพื่อรองรับลูกค้าใน ภูมิภาคเอเชียมากขึ้น
โดยแผนระยะยาวของ PRM คือการมีเรือประเภทนี้เพิ่มขึ้นเป็น 10-15 ลำ และก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในผู้เล่นระดับภูมิภาค โดยเราเชื่อว่าบริษัทมีเงินทุนมากพอที่จะทำเช่นนั้น ซึ่งจะทำให้บริษัทได้รับอานิสงส์จากสภาพตลาดที่เป็นใจในช่วงถัดไปและเป็นการกระจายความเสี่ยงจากที่เคยพึ่งพาแต่เรือขนส่งน้ำมันดิบ-น้ำมันที่ถูกกลั่น เป็นหลัก (90% ของปริมาณขนส่งในประเทศ)
โดยคาดว่าตลาดการขนส่งสินค้าเคมีภัณฑ์ทางทะเลตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นไปจะได้อานิสงส์จากสภาพตลาดที่มีปัจจัยบวกมากกว่าตลาดเรือขนส่งน้ำมัน อิงจากอุปสงค์จากจีนที่สูงขึ้นหลังกลับมาเปิดประเทศ และอุปทานสินค้าปิโตร-เคมีภัณฑ์ใหม่ๆ จากโรงกลั่นในภูมิภาคที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ในด้านอุปทานเรือขนส่งสินค้าเคมีภัณฑ์คาดว่าจะมีเรือเก่า 46% ที่ต้องขายซากทิ้งเพราะไม่เข้ากฎเกณฑ์ด้านสิ่งแวดล้อมใหม่ ทั้งนี้การหาเรือขนเคมีภัณฑ์มือสองเข้ามาก็ยังเป็นงานที่ท้าทาย ขณะที่การต่อเรือใหม่เลยต้องใช้เวลาอย่างน้อย 14-16 เดือนกว่าจะพร้อมปล่อยเช่า
พร้อมมองกิจการแข็งแกร่ง พร้อม upside จากกองเรือใหม่ ขณะที่หุ้นก็เทรดกันที่ส่วนลดที่จูงใจ โดยมูลค่าพื้นฐานของเราที่ 9.25 บาท อิง 12.0xPE'23E หรือค่าเฉลี่ย PE ย้อนหลัง 3 ปี ซึ่งใกล้ค่าเฉลี่ยกลุ่มขนส่งเอเชียที่ไม่รวมญี่ปุ่น
การปรับประมาณการกำไร เราปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2566 ขึ้น 30% เป็น 1.9 พันล้านบาท และปี 2567 ขึ้น 19% เป็น 1.8 พันล้านบาท หลังนับรวมอุปสงค์เรือ FSU ที่ดีกว่าคาด การนำเรือขนาดใหญ่เข้าอู่แห้งที่สิ้นสุดลงในปี 2566(คาดค่าใช้จ่ายอู่แห้งจะลดลงราว 40%) และอัตรากำไรที่แข็งแกร่งขึ้นจากทุกหน่วยธุรกิจ ด้วยเหตุนี้จึงปรับเพิ่มรายได้ขึ้น 10% และ 6% และเพิ่ม GPM ขึ้นเป็น 35.1% และ 34.1% ตามลำดับ เราจึงเพิ่มคำแนะนำเป็น "ซื้อ" มูลค่าพื้นฐาน 9.25 บาท (จาก 7.70 บาท) ปัจจุบันหุ้นซื้อขายต่ำ -2SD ต่อค่าเฉลี่ย 5 ปี ขณะที่มีเงินสดพร้อมลงทุนอยู่ 2.6 พันล้านบาท