ได้ฤกษ์เทรดพาร์ใหม่แล้ว! สำหรับหุ้นสุดฮอตในพ.ศ.นี้ บริษัทเดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA เตรียมเทรดพาร์ใหม่ที่ 0.10 บาท จากเดิมพาร์ที่ 1.00 บาท
โดยการซื้อขายที่ราคาพาร์ใหม่จะเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 28 เม.ย. 2566
นอกจากนี้ ยังมีการเปลี่ยนแปลงหน่วยการซื้อขายของหุ้น DELTA จากเดิมซื้อขาย 50 หุ้น ปรับใหม่เป็น 100 หุ้น เริ่มวันที่ 28 เม.ย. 2566 เช่นกัน
หลัง DELTA ได้ดำเนินการจดทะเบียนต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์แล้ว โดยดำเนินการเปลี่ยนแปลงมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ของหุ้นสามัญของบริษัท โดยมูลค่าที่ตราไว้จะเป็นหุ้นละ 0.10 บาท จากเดิมหุ้นละ 1 บาท ขณะที่จำนวนหุ้นจะเพิ่มเป็น 12,473,816,140 หุ้น จากเดิมที่ 1,247,381,614 หุ้น
จากสถิติพบว่า ในช่วงเวลา 1 เดือนแรก หลังเทรดพาร์ใหม่ พบว่า ราคาหุ้นจะปรับตัวลดลง เห็นได้ชัดเจนอย่าง หุ้น KTC หลังเทรดพาร์ใหม่ ราคาหุ้นปรับตัวลดลงกว่า 20.28% ใน 1 เดือนแรก
ขณะที่ BDMS เทรดพาร์ใหม่ 1 เดือนแรกให้ผลตอบแทนเป็นบวกสูงถึง 17.14%
มาดูกันที่หุ้น DELTA ที่จะเทรดพาร์ใหม่ในวันที่ 28 เม.ย.นี้ พบว่าในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ก่อนเทรดพาร์ใหม่ มีแรงเก็งกำไรเข้ามาอย่างหนาแน่น ดันราคาขึ้นไปสร้างสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ 1,154.00 บาท/หุ้น ก่อนราคาร่วงลงต่ำสุดที่ 748 บาท/หุ้น ก่อนเทรดพาร์ใหม่
ถามมุมมองนักวิเคราะห์ ผ่าน IAA Consensus ให้ราคาเป้าหมาย DELTA เฉลี่ยที่ 610 บาท/หุ้น (61 บาท/หุ้น @พาร์ใหม่)
โดยราคาเป้าหมายสูงสุดที่นักวิเคราะห์ให้ไว้ที่ 750 บาท/หุ้น (75 บาท/หุ้น @พาร์ใหม่) และต่ำสุดที่ 508 บาท/หุ้น (50 บาท/หุ้น @ พาร์ใหม่)
วันที่ 27 เม.ย.66 ที่ผ่านมา ราคาหุ้น DELTA ปิดตลาดที่ 748 บาท/หุ้น ลดลง 148.00 บาท ลดลง 16.52%
ขณะที่บทวิเคราะห์จากบล.กรุงศรี พัฒนสิน เผย DELTA รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 1/66 ที่ 3,614 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30% จากช่วงเดียวกันปีก่อน แต่ลดลง 14% จากไตรมาสก่อน ซึ่งกำไรดังกล่าวต่ำกว่าที่ฝ่ายวิจัยคาด 10% และต่ำกว่าตลาดคาด 5% เพราะอัตรากำไรขั้นต้นหรือ GPM ต่ำกว่าคาด
ทั้งนี้ กำไรปกติในไตรมาส 1/66 ที่เติบโต เพราะภาวะขาดวัตถุดิบคลี่คลายและการขนส่งดีขึ้น รวมทั้งมีการเพิ่มกำลังการผลิต ส่วนที่ลดลงจากไตรมาสก่อน เพราะยอดขายและมาร์จิ้นของกลุ่มดาต้าเซ็นเตอร์ลดลง ทั้งจากสินค้ากลุ่ม hi-end Data Center ลดลง และค่าเงินบาทแข็งค่า
ทั้งนี้จากการที่งบไตรมาส 1/66 มีอัตรากำไรขั้นต้นต่ำกว่าเป้าหมาย จึงทำให้ฝ่ายวิจัยมีแนวโน้มปรับสมมติฐานของปีนี้ลงจาก 23.5% มาที่ 22% และทำให้ประมาณการกำไรสุทธิในปีนี้อยู่ที่ 18,460 ล้านบาท ลดลง 13% หรือมาอยู่ที่ 16,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นระดับ consensus
โดยการซื้อขายที่ราคาพาร์ใหม่จะเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 28 เม.ย. 2566
นอกจากนี้ ยังมีการเปลี่ยนแปลงหน่วยการซื้อขายของหุ้น DELTA จากเดิมซื้อขาย 50 หุ้น ปรับใหม่เป็น 100 หุ้น เริ่มวันที่ 28 เม.ย. 2566 เช่นกัน
หลัง DELTA ได้ดำเนินการจดทะเบียนต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์แล้ว โดยดำเนินการเปลี่ยนแปลงมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ของหุ้นสามัญของบริษัท โดยมูลค่าที่ตราไว้จะเป็นหุ้นละ 0.10 บาท จากเดิมหุ้นละ 1 บาท ขณะที่จำนวนหุ้นจะเพิ่มเป็น 12,473,816,140 หุ้น จากเดิมที่ 1,247,381,614 หุ้น
จากสถิติพบว่า ในช่วงเวลา 1 เดือนแรก หลังเทรดพาร์ใหม่ พบว่า ราคาหุ้นจะปรับตัวลดลง เห็นได้ชัดเจนอย่าง หุ้น KTC หลังเทรดพาร์ใหม่ ราคาหุ้นปรับตัวลดลงกว่า 20.28% ใน 1 เดือนแรก
ขณะที่ BDMS เทรดพาร์ใหม่ 1 เดือนแรกให้ผลตอบแทนเป็นบวกสูงถึง 17.14%
มาดูกันที่หุ้น DELTA ที่จะเทรดพาร์ใหม่ในวันที่ 28 เม.ย.นี้ พบว่าในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ก่อนเทรดพาร์ใหม่ มีแรงเก็งกำไรเข้ามาอย่างหนาแน่น ดันราคาขึ้นไปสร้างสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ 1,154.00 บาท/หุ้น ก่อนราคาร่วงลงต่ำสุดที่ 748 บาท/หุ้น ก่อนเทรดพาร์ใหม่
ถามมุมมองนักวิเคราะห์ ผ่าน IAA Consensus ให้ราคาเป้าหมาย DELTA เฉลี่ยที่ 610 บาท/หุ้น (61 บาท/หุ้น @พาร์ใหม่)
โดยราคาเป้าหมายสูงสุดที่นักวิเคราะห์ให้ไว้ที่ 750 บาท/หุ้น (75 บาท/หุ้น @พาร์ใหม่) และต่ำสุดที่ 508 บาท/หุ้น (50 บาท/หุ้น @ พาร์ใหม่)
วันที่ 27 เม.ย.66 ที่ผ่านมา ราคาหุ้น DELTA ปิดตลาดที่ 748 บาท/หุ้น ลดลง 148.00 บาท ลดลง 16.52%
ขณะที่บทวิเคราะห์จากบล.กรุงศรี พัฒนสิน เผย DELTA รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 1/66 ที่ 3,614 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30% จากช่วงเดียวกันปีก่อน แต่ลดลง 14% จากไตรมาสก่อน ซึ่งกำไรดังกล่าวต่ำกว่าที่ฝ่ายวิจัยคาด 10% และต่ำกว่าตลาดคาด 5% เพราะอัตรากำไรขั้นต้นหรือ GPM ต่ำกว่าคาด
ทั้งนี้ กำไรปกติในไตรมาส 1/66 ที่เติบโต เพราะภาวะขาดวัตถุดิบคลี่คลายและการขนส่งดีขึ้น รวมทั้งมีการเพิ่มกำลังการผลิต ส่วนที่ลดลงจากไตรมาสก่อน เพราะยอดขายและมาร์จิ้นของกลุ่มดาต้าเซ็นเตอร์ลดลง ทั้งจากสินค้ากลุ่ม hi-end Data Center ลดลง และค่าเงินบาทแข็งค่า
ทั้งนี้จากการที่งบไตรมาส 1/66 มีอัตรากำไรขั้นต้นต่ำกว่าเป้าหมาย จึงทำให้ฝ่ายวิจัยมีแนวโน้มปรับสมมติฐานของปีนี้ลงจาก 23.5% มาที่ 22% และทำให้ประมาณการกำไรสุทธิในปีนี้อยู่ที่ 18,460 ล้านบาท ลดลง 13% หรือมาอยู่ที่ 16,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นระดับ consensus