Smart Investment
"นิติ โอสถานุเคราะห์" ดักซื้อ CPALL เพิ่ม ดันสัดส่วนถือหุ้นสูงสุดรอบ 3 ปี
10 พฤษภาคม 2566
ภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้นไทยช่วงต้นเดือนพฤษภาคม 2566 ดัชนีหุ้นยังคงแกว่งตัวและปรับฐานเป็นรอปัจจัยใหม่เข้ามาช่วยสนับสนุน โดยบล.บล.เอเซียพลัสระบุว่า หากพิจารณาจากข้อมูลในอดีตจะพบว่า ช่วงที่ Fed คงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย จะทำให้ตลาดหุ้นมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น ทั้งตลาดหุ้นสหรัฐฯและไทย โดย SPX Index +20.3% และSET Index +19.7% ในช่วงปี 2006, SPX Index +30.5% และ SET Index +8.8% ในช่วงปี 2018 อย่างไรก็ตามในทางกลับกันหาก Fed ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอย่างรวดเร็ว ก็จะเป็นจุดสะท้อนได้ว่าเศรษฐกิจในช่วงนั้นกำลังเข้าสู่ภาวะถดถอย (Recession) และอาจเป็นแรงกดดันต่อตลาดหุ้นอย่างมีนัยฯ
ภาวะดังกล่าวน่าจะทำให้น่าจะทำให้ Fed หลังจากปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมรอบต้นเดือน พ.ค.66 แล้ว น่าจะคงระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่บริเวณ 5.25% ไว้ได้นานขึ้น ซึ่งช่วงการคงอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวเป็นช่วงเวลาที่เม็ดเงินมักไหลออกจาก Dollar Index เข้าสู่สินทรัพย์เสี่ยงเสมอ และทำให้ตลาดหุ้นสามารถ Outperform ได้ดีเฉกเช่นสถิติในอดีต
ขณะที่ประเมินทิศทาง Fund Flow มีการไหลเข้าตลาดการเงินไทยอย่างมีนัยฯ โดยเฉพาะตลาดตราสารหนี้ระยะสั้น ส่งผลให้ค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น หนุนต่างชาติได้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มเติม รวมถึงน่าจะมี Momentum หนุนตลาดหุ้นไทยในระยะถัดไปได้เช่นกัน
จากการรวบรวมข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในส่วนข้อมูลการลงทุนของ "นิติ โอสถานุเคราะห์" ในฐานะนักลงทุนรายใหญ่ที่ถูกจัดอันดับให้เป็นเศรษฐีหุ้นอันดับต้นของประเทศไทย และเป็นที่รู้จักกันดีในวงการตลาดทุน
ปัจจุบัน"นิติ" มีพอร์ตลงทุนในหุ้นจำนวน 8 บริษัท มีมูลค่าการถือครองรวม 6.8 หมื่นล้านบาท ประกอบด้วย
จากข้อมูลดังกล่าว หากนำไปเปรียบเทียบการถือครองหุ้น โดยเฉพาะหุ้นCPALL จะพบว่าในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา "นิติ"ได้มีการเพิ่มสัดส่วนการถือครองต่อเนื่อง ดังนี้
สำหรับการเคลื่อนไหวราคาหุ้น CPALL ตั้งแต่ต้นปีปรับลดลง 3.30 % จากราคา 66 บาทต่อหุ้น ปรับลดลงมาอยู่ที่ 5.86% โดยราคาหุ้นเคยปรับตัวขึ้นไปสูงสุดที่ 73.75 บาทต่อหุ้น และต่ำสุดอยู่ที่ 59.25 บาทต่อหุ้น
บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุว่าแนะนำ ซื้อหุ้นCPALL ประเมินราคาเป้าหมาย 72 บาท เนื่องจาก แนวโน้มกำไรไตรมาส 1/2566 คาดฟื้นตัวเพิ่มขึ้น 24% q-q, 3% y-y ตาม SSSG ที่ปรับขึ้นทั้ง CPALL และ MAKRO รวมถึงค่าใช้จ่ายด้านพนักงานที่ลดลง q-q ขณะที่ค่าไฟขยับขึ้นจากการปรับขึ้นค่า Ft งวด ม.ค.-เม.ย.2566 ของภาคธุรกิจเป็นปัจจัยจำกัดการฟื้นตัวระยะสั้น
ทั้งนี้ Catalyst หนุนได้แก่การหาเสียงเลือกตั้งที่จะคึกคึกในช่วงโค้งสุดท้ายช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายของผู้บริโภค รวมถึงการปรับลดค่า Ft ภาคธุรกิจรอบเดือน พ.ค.-ส.ค. 23 เหลือ 4.70 บาท/หน่วย ช่วยหนุนกำไรไตรมาส 2/2566 ให้เร่งตัว เราคาดกำไรปี 2566 เพิ่มขึ้น 30% y-y โดยมีแนวรับ 64-63 บาท แนวต้าน 66//68บาท
สำหรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นCPALLล่าสุดประกอบด้วย
ภาวะดังกล่าวน่าจะทำให้น่าจะทำให้ Fed หลังจากปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมรอบต้นเดือน พ.ค.66 แล้ว น่าจะคงระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่บริเวณ 5.25% ไว้ได้นานขึ้น ซึ่งช่วงการคงอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวเป็นช่วงเวลาที่เม็ดเงินมักไหลออกจาก Dollar Index เข้าสู่สินทรัพย์เสี่ยงเสมอ และทำให้ตลาดหุ้นสามารถ Outperform ได้ดีเฉกเช่นสถิติในอดีต
ขณะที่ประเมินทิศทาง Fund Flow มีการไหลเข้าตลาดการเงินไทยอย่างมีนัยฯ โดยเฉพาะตลาดตราสารหนี้ระยะสั้น ส่งผลให้ค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น หนุนต่างชาติได้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มเติม รวมถึงน่าจะมี Momentum หนุนตลาดหุ้นไทยในระยะถัดไปได้เช่นกัน
จากการรวบรวมข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในส่วนข้อมูลการลงทุนของ "นิติ โอสถานุเคราะห์" ในฐานะนักลงทุนรายใหญ่ที่ถูกจัดอันดับให้เป็นเศรษฐีหุ้นอันดับต้นของประเทศไทย และเป็นที่รู้จักกันดีในวงการตลาดทุน
ปัจจุบัน"นิติ" มีพอร์ตลงทุนในหุ้นจำนวน 8 บริษัท มีมูลค่าการถือครองรวม 6.8 หมื่นล้านบาท ประกอบด้วย
หุ้น | จำนวน(หุ้น) | %การถือครอง |
BKI | 2,224,362 | 2.09 |
CENTEL | 41,314,611 | 3.06 |
CPALL | 138,986,600 | 1.55 |
CPN | 83,234,500 | 1.85 |
HMPRO | 665,764,862 | 5.06 |
MINT | 497,600,851 | 9.35 |
OSP | 723,097,300 | 24.07 |
WHA | 436,438,690 | 2.92 |
จากข้อมูลดังกล่าว หากนำไปเปรียบเทียบการถือครองหุ้น โดยเฉพาะหุ้นCPALL จะพบว่าในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา "นิติ"ได้มีการเพิ่มสัดส่วนการถือครองต่อเนื่อง ดังนี้
ปี | จำนวน(หุ้น) | %ถือครอง |
2563 | 79,430,100 | 0.88 |
2565 | 125,015,000 | 1.39 |
2566 | 138,986,600 | 1.55 |
สำหรับการเคลื่อนไหวราคาหุ้น CPALL ตั้งแต่ต้นปีปรับลดลง 3.30 % จากราคา 66 บาทต่อหุ้น ปรับลดลงมาอยู่ที่ 5.86% โดยราคาหุ้นเคยปรับตัวขึ้นไปสูงสุดที่ 73.75 บาทต่อหุ้น และต่ำสุดอยู่ที่ 59.25 บาทต่อหุ้น
บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุว่าแนะนำ ซื้อหุ้นCPALL ประเมินราคาเป้าหมาย 72 บาท เนื่องจาก แนวโน้มกำไรไตรมาส 1/2566 คาดฟื้นตัวเพิ่มขึ้น 24% q-q, 3% y-y ตาม SSSG ที่ปรับขึ้นทั้ง CPALL และ MAKRO รวมถึงค่าใช้จ่ายด้านพนักงานที่ลดลง q-q ขณะที่ค่าไฟขยับขึ้นจากการปรับขึ้นค่า Ft งวด ม.ค.-เม.ย.2566 ของภาคธุรกิจเป็นปัจจัยจำกัดการฟื้นตัวระยะสั้น
ทั้งนี้ Catalyst หนุนได้แก่การหาเสียงเลือกตั้งที่จะคึกคึกในช่วงโค้งสุดท้ายช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายของผู้บริโภค รวมถึงการปรับลดค่า Ft ภาคธุรกิจรอบเดือน พ.ค.-ส.ค. 23 เหลือ 4.70 บาท/หน่วย ช่วยหนุนกำไรไตรมาส 2/2566 ให้เร่งตัว เราคาดกำไรปี 2566 เพิ่มขึ้น 30% y-y โดยมีแนวรับ 64-63 บาท แนวต้าน 66//68บาท
สำหรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นCPALLล่าสุดประกอบด้วย
รายชื่อ | จำนวน(หุ้น) | %การถือครอง |
ซี.พี.เมอร์แชนไดซิ่ง | 2,855,452,100 | 31.79 |
ไทยเอ็นวีดีอาร์ | 969,485,257 | 10.79 |
SOUTH EAST ASIA UK (TYPE C) NOMINEES LIMITED | 499,652,163 | 5.56 |
STATE STREET EUROPE LIMITED | 319,879,879 | 3.56 |
CITIBANK NOMINEES SINGAPORE PTE LTD-A/C GIC C | 309,469,100 | 3.45 |
สำนักงานประกันสังคม | 155,010,200 | 1.73 |
THE BANK OF NEW YORK MELLON | 140,510,209 | 1.56 |
นิติ โอสถานุเคราะห์ | 138,986,600 | 1.55 |
บริษัท ยู เอ็น เอส อโกรเคมีคัล | 135,100,000 | 1.50 |
SOUTH EAST ASIA UK (TYPE A) NOMINEES LIMITED | 106,121,133 | 1.18 |