จับประเด็นหุ้นเด่น
สัมภาษณ์พิเศษ : ผู้บริหาร COLOR เชื่อเศรษฐกิจไทย หลังเลือกตั้ง “ดีขึ้น”
11 พฤษภาคม 2566
เศรษฐกิจไทยหลังการเลือกตั้งปี 2566 นี้จะมีทิศทางอย่างไร และนโยบายการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำซึ่งเป็นต้นทุนที่สำคัญในการทำธุรกิจ ผู้ประกอบการจะมีแนวทางการรับมืออย่างไร เราไปติดตามมุมมองนี้กับ คุณพีรพันธ์ จิวะพรทิพย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สาลี่ คัลเล่อร์ (COLOR)
มุมมองเศรษฐกิจไทยหลังการเลือกตั้ง
เชื่อว่า หลังการเลือกตั้งและมีรัฐบาลใหม่มาบริหารประเทศ เศรษฐกิจไทย น่าจะเติบโตดีขึ้น อย่างน้อย 3-4 เดือน และหลังจากนั้นขึ้นกับการฟอร์มรัฐบาลใหม่ ว่าจะเป็นอย่างไร ซึ่งเศรษฐกิจที่ดีขึ้น เพราะเชื่อว่ารัฐบาลใหม่จะต้องเร่งกระตุ้นการใช้จ่ายเงินเข้าสู่ระบบ โดยการอัดฉีดผ่านมาตรการต่างๆ รวมทั้งการลงทุนของภาครัฐ ทำให้ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ
นโยบายปรับขึ้นค่าแรงของพรรคการเมืองต่างๆ
ในมุมผู้ประกอบการ ถ้าเป็นผู้ประกอบการที่ใช้แรงงานมาก ถือว่าค่อนข้างน่าห่วง เช่น ธุรกิจสิ่งทอ ที่ต้องใช้แรงงานคนในการทำงานมาก และต้องดูว่าบริษัทต่างๆจะผลักดันต้นทุนที่เพิ่มขึ้นไปให้ผู้ซื้อได้มากแค่ไหน
แต่ในส่วนของบริษัทเอง ได้มีการเตรียมตัวมานานแล้ว ตั้งแต่เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ โดยการผลิตสินค้าของบริษัทส่วนใหญ่ใช้เป็น Automation ไม่ได้ใช้แรงงานคนเป็นหลัก โดยบริษัทมีลูกจ้างประมาณ 300 คน และช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้เพิ่มกำลังการผลิตมากขึ้นกว่า 3 เท่าเมื่อเทียบกับของเดิม แต่จำนวนคนยังใช้เท่าเดิม
ดังนั้นค่าแรงที่ปรับขึ้นไม่กระทบบริษัทมาก และบริษัทก็สามารถผลักต้นทุนที่เพิ่มขึ้นให้กับลูกค้าได้ เพราะในการผลิตสินค้า บริษัทเปรียบเหมือนธุรกิจต้นน้ำ แต่ก็ต้องยอมรับว่าการปรับค่าแรงขึ้นมาก จะกระทบกับเงินเฟ้อ ส่งผลให้ราคาสินค้าแพง ทำให้กำลังซื้อของประชาชนลดลง
ผลงานไตรมาสแรกเป็นอย่างไร
ไม่ได้เติบโตมากอย่างที่คาดคิด การส่งออกและการใช้จ่ายในประเทศ เดิมคาดว่าจะดีขึ้นมากกว่านี้ แต่จริงๆไม่ได้ดีมาก และราคาน้ำมันเริ่มที่ทรงตัวและมีแนวโน้มปรับลดลง ทำให้เราไม่ได้ประโยชน์มาก เนื่องจากราคาที่ทรงตัวมาแล้ว 2-3 เดือน ทำให้บริษัทก็ไม่สามารถปรับราคาได้ ดังนั้นภาพไตรมาสแรก เราคิดว่าเป็นช่วงที่น่าจะต่ำสุดในปีนี้ของบริษัท
ซึ่งธุรกิจหลักของบริษัทเป็นธุรกิจเกี่ยวกับเม็ดแม่สี ซึ่งยังมีสัดส่วนอยู่ที่ 95% ของรายได้ ส่วนงานใหม่ที่มา เช่น ถุงปลูก หรือฟิลม์ อยู่ที่ 5% ซึ่งงานใหม่ยังเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง เพราะประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม จึงยังมีช่องทางที่บริษัทจะเติบโตได้อีกมาก
กลยุทธ์ในการทำตลาดของบริษัท
ปัจจุบันกำลังการผลิตของบริษัทยังสามารถรองรับลูกค้าได้อีกมาก โดยในช่วง 3-5 ปี สามารถผลิตสินค้าได้ โดยไม่ต้องขยายเครื่องจักรอุปกรณ์ ดังนั้นการขยายธุรกิจในระยะต่อไป บริษัทจะเน้นการใช้กลยุทธ์ เลือกตลาด เลือกงานให้มากขึ้น โดยเน้นผลิตสินค้าที่สร้างมูลค่าเพิ่ม งานที่มีความเชี่ยวชาญพิเศษ เช่น การผลิตถ้วยใส่อาหารแมว ซึ่ง 1 ถ้วย มี 8 -11 ชั้น ต้นทุนอยู่ที่ 15 บาท/ถ้วย ขณะที่ถาดใส่อาหารของคนเรามีประมาณ 3 ชั้น
ซึ่งการรับงานพิเศษจะทำให้กำไรของบริษัทดีขึ้น โดยหากเป็นงานปกติกำไรเฉลี่ยอยู่ที่ 10% แต่ถ้าเป็นงานพิเศษ กำไรเฉลี่ยอยู่ที่ 20-25% ทำให้ปัจจุบันกำไรเฉลี่ยของบริษัทอยู่ที่ 15-18%
มองธุรกิจเกี่ยวกับพลังงานสะอาด
บริษัทเชื่อว่า ยังมีโอกาสในการเติบโตได้อีกมาก เนื่องจากสถานการณ์ภาวะโลกร้อน และต้องยอมรับว่าประเทศเราเป็นประเทศที่มีแสงแดดเกือบตลอดปี เมื่อเทียบกับยุโรปที่มีแสงแดดประมาณ 6 เดือน ทำให้ประเทศไทยมีความได้เปรียบหากภาครัฐให้การสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาด
ในส่วนธุรกิจพลังงานทดแทน มีงานเข้ามาตั้งแต่ปลายปี 2565 ประมาณ 5 MW และตอนนี้เริ่มรับรู้รายได้จนถึงกลางปีนี้ และบริษัทกำลังประมูลงานอีกประมาณ 20-30 MW คิดว่าจะจบบางส่วน ไตรมาส 2 หรือ 3
ซึ่งรายได้จากพลังงานทดแทนในปัจจุบัน ส่วนใหญ่มาจาก Solar Roof เกินกว่า 50% ขณะที่ โซลาร์ลอยน้ำ(Floating Solar) ยังมีสัดส่วนที่ไม่มากนัก แต่ในอนาคตบริษัทวางแผนว่าจะให้รายได้จากโซลาร์ลอยน้ำเพิ่มมากขึ้น เพราะบริษัทเป็นผู้ผลิตทุ่นลอยน้ำเอง ซึ่งสัดส่วนรายได้จากโซลาร์ลอยน้ำน่าจะอยู่ที่ 70-80%
ตลาดรถ EV กำลังเป็นกระแสที่มาแรง
บริษัทก็มองตลาดรถ EV เช่นกัน เนื่องจากในการทำธุรกิจโซลาร์ บริษัทมีการทำแบตเตอรี่กับที่ชาร์ตไฟ ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงของการนำเข้า และอยู่ในขั้นตอนของการขอใบรับรอง ซึ่งน่าจะจบในช่วงกลางปีนี้ หลังจากนั้นก็จะขยายตลาดอย่างจริงจัง โดยหลักๆบริษัทจะทำหน้าที่แค่การขายอุปกรณ์และติดตั้ง โดยช่วงปลายปีนี้น่าจะเริ่มเห็นธุรกิจบ้าง แต่จะเห็นอย่างจริงจังตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นไป
ตลาดต่างประเทศ
การทำตลาดต่างประเทศก็เติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งประเทศหลักๆที่ส่งออกได้แก่ เวียดนาม พม่า อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ส่วนประเทศในยุโรป เช่น ฝรั่งเศส แคนาดา อเมริกา มีการส่งออกไม่มาก โดยการส่งออกจะมีสัดส่วนประมาณ 10-12% ของรายได้รวม ซึ่งการเติบโตน่าจะเป็นการเติบโตที่ 10-15%
ความผันผวนของเงินบาท
บริษัทไม่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของเงินบาท เนื่องจากบริษัทต้องนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศในการผลิตสินค้า ดังนั้นเมื่อได้รับเงินเป็นดอลลาร์ บริษัทก็ต้องจ่ายค่าสินค้าเป็นเงินดอลลาร์ เช่นกัน
คาดการณ์ผลงานในไตรมาส 2
ในส่วนของธุรกิจเดิมคิดว่าดีกว่าไตรมาสแรก แต่ยังไม่เห็นตัวเลขที่ชัดเจน เนื่องจากไฮซีชั่นของบริษัทจะเริ่มตั้งแต่เดือนมิ.ย. เป็นต้นไป ซึ่งเป็นเดือนสุดท้ายของไตรมาสที่ 2 แต่ในส่วนของธุรกิจใหม่ งานประมูล Solar น่าจะมีงานเพิ่มมากขึ้น ทำให้ช่วยยอดขายและกำไรของบริษัทดีขึ้นในช่วงไตรมาส 2 และ 3
เป้าหมายปีนี้
ยังเป็นไปตามที่กำหนดไว้ โดยบริษัทตั้งเป้ารายได้ปีนี้ เติบโต 20% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
มุมมองเศรษฐกิจไทยหลังการเลือกตั้ง
เชื่อว่า หลังการเลือกตั้งและมีรัฐบาลใหม่มาบริหารประเทศ เศรษฐกิจไทย น่าจะเติบโตดีขึ้น อย่างน้อย 3-4 เดือน และหลังจากนั้นขึ้นกับการฟอร์มรัฐบาลใหม่ ว่าจะเป็นอย่างไร ซึ่งเศรษฐกิจที่ดีขึ้น เพราะเชื่อว่ารัฐบาลใหม่จะต้องเร่งกระตุ้นการใช้จ่ายเงินเข้าสู่ระบบ โดยการอัดฉีดผ่านมาตรการต่างๆ รวมทั้งการลงทุนของภาครัฐ ทำให้ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ
นโยบายปรับขึ้นค่าแรงของพรรคการเมืองต่างๆ
ในมุมผู้ประกอบการ ถ้าเป็นผู้ประกอบการที่ใช้แรงงานมาก ถือว่าค่อนข้างน่าห่วง เช่น ธุรกิจสิ่งทอ ที่ต้องใช้แรงงานคนในการทำงานมาก และต้องดูว่าบริษัทต่างๆจะผลักดันต้นทุนที่เพิ่มขึ้นไปให้ผู้ซื้อได้มากแค่ไหน
แต่ในส่วนของบริษัทเอง ได้มีการเตรียมตัวมานานแล้ว ตั้งแต่เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ โดยการผลิตสินค้าของบริษัทส่วนใหญ่ใช้เป็น Automation ไม่ได้ใช้แรงงานคนเป็นหลัก โดยบริษัทมีลูกจ้างประมาณ 300 คน และช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้เพิ่มกำลังการผลิตมากขึ้นกว่า 3 เท่าเมื่อเทียบกับของเดิม แต่จำนวนคนยังใช้เท่าเดิม
ดังนั้นค่าแรงที่ปรับขึ้นไม่กระทบบริษัทมาก และบริษัทก็สามารถผลักต้นทุนที่เพิ่มขึ้นให้กับลูกค้าได้ เพราะในการผลิตสินค้า บริษัทเปรียบเหมือนธุรกิจต้นน้ำ แต่ก็ต้องยอมรับว่าการปรับค่าแรงขึ้นมาก จะกระทบกับเงินเฟ้อ ส่งผลให้ราคาสินค้าแพง ทำให้กำลังซื้อของประชาชนลดลง
ผลงานไตรมาสแรกเป็นอย่างไร
ไม่ได้เติบโตมากอย่างที่คาดคิด การส่งออกและการใช้จ่ายในประเทศ เดิมคาดว่าจะดีขึ้นมากกว่านี้ แต่จริงๆไม่ได้ดีมาก และราคาน้ำมันเริ่มที่ทรงตัวและมีแนวโน้มปรับลดลง ทำให้เราไม่ได้ประโยชน์มาก เนื่องจากราคาที่ทรงตัวมาแล้ว 2-3 เดือน ทำให้บริษัทก็ไม่สามารถปรับราคาได้ ดังนั้นภาพไตรมาสแรก เราคิดว่าเป็นช่วงที่น่าจะต่ำสุดในปีนี้ของบริษัท
ซึ่งธุรกิจหลักของบริษัทเป็นธุรกิจเกี่ยวกับเม็ดแม่สี ซึ่งยังมีสัดส่วนอยู่ที่ 95% ของรายได้ ส่วนงานใหม่ที่มา เช่น ถุงปลูก หรือฟิลม์ อยู่ที่ 5% ซึ่งงานใหม่ยังเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง เพราะประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม จึงยังมีช่องทางที่บริษัทจะเติบโตได้อีกมาก
กลยุทธ์ในการทำตลาดของบริษัท
ปัจจุบันกำลังการผลิตของบริษัทยังสามารถรองรับลูกค้าได้อีกมาก โดยในช่วง 3-5 ปี สามารถผลิตสินค้าได้ โดยไม่ต้องขยายเครื่องจักรอุปกรณ์ ดังนั้นการขยายธุรกิจในระยะต่อไป บริษัทจะเน้นการใช้กลยุทธ์ เลือกตลาด เลือกงานให้มากขึ้น โดยเน้นผลิตสินค้าที่สร้างมูลค่าเพิ่ม งานที่มีความเชี่ยวชาญพิเศษ เช่น การผลิตถ้วยใส่อาหารแมว ซึ่ง 1 ถ้วย มี 8 -11 ชั้น ต้นทุนอยู่ที่ 15 บาท/ถ้วย ขณะที่ถาดใส่อาหารของคนเรามีประมาณ 3 ชั้น
ซึ่งการรับงานพิเศษจะทำให้กำไรของบริษัทดีขึ้น โดยหากเป็นงานปกติกำไรเฉลี่ยอยู่ที่ 10% แต่ถ้าเป็นงานพิเศษ กำไรเฉลี่ยอยู่ที่ 20-25% ทำให้ปัจจุบันกำไรเฉลี่ยของบริษัทอยู่ที่ 15-18%
มองธุรกิจเกี่ยวกับพลังงานสะอาด
บริษัทเชื่อว่า ยังมีโอกาสในการเติบโตได้อีกมาก เนื่องจากสถานการณ์ภาวะโลกร้อน และต้องยอมรับว่าประเทศเราเป็นประเทศที่มีแสงแดดเกือบตลอดปี เมื่อเทียบกับยุโรปที่มีแสงแดดประมาณ 6 เดือน ทำให้ประเทศไทยมีความได้เปรียบหากภาครัฐให้การสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาด
ในส่วนธุรกิจพลังงานทดแทน มีงานเข้ามาตั้งแต่ปลายปี 2565 ประมาณ 5 MW และตอนนี้เริ่มรับรู้รายได้จนถึงกลางปีนี้ และบริษัทกำลังประมูลงานอีกประมาณ 20-30 MW คิดว่าจะจบบางส่วน ไตรมาส 2 หรือ 3
ซึ่งรายได้จากพลังงานทดแทนในปัจจุบัน ส่วนใหญ่มาจาก Solar Roof เกินกว่า 50% ขณะที่ โซลาร์ลอยน้ำ(Floating Solar) ยังมีสัดส่วนที่ไม่มากนัก แต่ในอนาคตบริษัทวางแผนว่าจะให้รายได้จากโซลาร์ลอยน้ำเพิ่มมากขึ้น เพราะบริษัทเป็นผู้ผลิตทุ่นลอยน้ำเอง ซึ่งสัดส่วนรายได้จากโซลาร์ลอยน้ำน่าจะอยู่ที่ 70-80%
ตลาดรถ EV กำลังเป็นกระแสที่มาแรง
บริษัทก็มองตลาดรถ EV เช่นกัน เนื่องจากในการทำธุรกิจโซลาร์ บริษัทมีการทำแบตเตอรี่กับที่ชาร์ตไฟ ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงของการนำเข้า และอยู่ในขั้นตอนของการขอใบรับรอง ซึ่งน่าจะจบในช่วงกลางปีนี้ หลังจากนั้นก็จะขยายตลาดอย่างจริงจัง โดยหลักๆบริษัทจะทำหน้าที่แค่การขายอุปกรณ์และติดตั้ง โดยช่วงปลายปีนี้น่าจะเริ่มเห็นธุรกิจบ้าง แต่จะเห็นอย่างจริงจังตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นไป
ตลาดต่างประเทศ
การทำตลาดต่างประเทศก็เติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งประเทศหลักๆที่ส่งออกได้แก่ เวียดนาม พม่า อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ส่วนประเทศในยุโรป เช่น ฝรั่งเศส แคนาดา อเมริกา มีการส่งออกไม่มาก โดยการส่งออกจะมีสัดส่วนประมาณ 10-12% ของรายได้รวม ซึ่งการเติบโตน่าจะเป็นการเติบโตที่ 10-15%
ความผันผวนของเงินบาท
บริษัทไม่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของเงินบาท เนื่องจากบริษัทต้องนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศในการผลิตสินค้า ดังนั้นเมื่อได้รับเงินเป็นดอลลาร์ บริษัทก็ต้องจ่ายค่าสินค้าเป็นเงินดอลลาร์ เช่นกัน
คาดการณ์ผลงานในไตรมาส 2
ในส่วนของธุรกิจเดิมคิดว่าดีกว่าไตรมาสแรก แต่ยังไม่เห็นตัวเลขที่ชัดเจน เนื่องจากไฮซีชั่นของบริษัทจะเริ่มตั้งแต่เดือนมิ.ย. เป็นต้นไป ซึ่งเป็นเดือนสุดท้ายของไตรมาสที่ 2 แต่ในส่วนของธุรกิจใหม่ งานประมูล Solar น่าจะมีงานเพิ่มมากขึ้น ทำให้ช่วยยอดขายและกำไรของบริษัทดีขึ้นในช่วงไตรมาส 2 และ 3
เป้าหมายปีนี้
ยังเป็นไปตามที่กำหนดไว้ โดยบริษัทตั้งเป้ารายได้ปีนี้ เติบโต 20% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา