ATP30 เผยผลประกอบการไตรมาส 1/66 รายได้ 166.24 ล้านบาท โต 8.98% แนวโน้มไตรมาส 2/66 เติบโตในเกณฑ์ดี รถที่ปรับปรุงสภาพพร้อมให้บริการ ด้านรถไฟฟ้ากระแสตอบรับดี อยู่ระหว่างเจรจาลูกค้าใหม่ 3-4 ราย คาดได้ข้อสรุปเร็วๆ นี้
นายปิยะ เตชากูล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอทีพี 30 จำกัด (มหาชน) หรือ “ATP30” ผู้ดำเนินธุรกิจให้บริการรถรับส่งพนักงานจากแหล่งที่พักอาศัยในเขตชุมชนไปยังโรงงานอุตสาหกรรมหรือสถานประกอบการโดยเฉพาะรอบเขตนิคมอุตสาหกรรมในภาคตะวันออก (Eastern Seaboard) เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาส 1/66 บริษัทมีรายได้รวม 166.92 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 153.16 ล้านบาท จำนวน 13.76 ล้านบาท หรือ 8.98% และมีกำไรสุทธิ 3.04 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 13.20 ล้านบาท จำนวน 10.16 ล้านบาท หรือ 76.97%
อย่างไรก็ตาม บริษัทมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/65 ที่มีขาดทุนสุทธิ 0.61 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 3.65 ล้านบาท หรือ 598.36% และมีกำไรขั้นต้น 25.18 ล้านบาท หรืออัตรากำไรขั้นต้น 15.15% เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนที่มีกำไรขั้นต้น 18.84 ล้านบาท หรืออัตรากำไรขั้นต้น 12.24% ซึ่งถือว่ามีแนวโน้มที่ดีขึ้น
ทั้งนี้ รายได้ของบริษัทปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากมีรถที่ให้บริการลูกค้าเดิมและลูกค้าใหม่เพิ่มจำนวน 8 คัน ขณะที่ กำไรสุทธิปรับตัวลดลงเล็กน้อย เนื่องจากบริษัทมีค่าใช้จ่ายต่อเนื่องในการปรับปรุงสภาพรถเพื่อให้บริการลูกค้าที่ใช้บริการครบกำหนดสัญญายังคงใช้รถเดิมต่อไปในระยะยาว อีกจำนวน 38 คัน คิดเป็นค่าใช้จ่ายประมาณ 4.77 ล้านบาท อีกทั้งค่าเฉลี่ยราคาน้ำมันอยู่ในระดับที่สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้ว
สำหรับทิศทางการดำเนินธุรกิจไตรมาส 2/66 เติบโตในเกณฑ์ดี ทั้งอัตรากำไรต่างๆ ปรับตัวดีขึ้น ต้นทุนการดำเนินงาน และราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับรถที่ปรับปรุงสภาพในช่วงไตรมาส 4/65 และไตรมาส 1/66 ทยอยกลับมาให้บริการและสามารถรับรู้รายได้ตามปกติ
ขณะที่การให้บริการรถไฟฟ้า กระแสตอบรับดีมีลูกค้าสนใจใช้บริการจำนวนมาก ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจา 3-4 ราย คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในไตรมาส 2/66 นี้ เบื้องต้นคาดว่าจะใช้รถไฟฟ้าจำนวนประมาณ 20-30 คัน ซึ่งบริษัทมีความพร้อมในการจัดหารถเพื่อมาให้บริการ
นายปิยะ เตชากูล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอทีพี 30 จำกัด (มหาชน) หรือ “ATP30” ผู้ดำเนินธุรกิจให้บริการรถรับส่งพนักงานจากแหล่งที่พักอาศัยในเขตชุมชนไปยังโรงงานอุตสาหกรรมหรือสถานประกอบการโดยเฉพาะรอบเขตนิคมอุตสาหกรรมในภาคตะวันออก (Eastern Seaboard) เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาส 1/66 บริษัทมีรายได้รวม 166.92 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 153.16 ล้านบาท จำนวน 13.76 ล้านบาท หรือ 8.98% และมีกำไรสุทธิ 3.04 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 13.20 ล้านบาท จำนวน 10.16 ล้านบาท หรือ 76.97%
อย่างไรก็ตาม บริษัทมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/65 ที่มีขาดทุนสุทธิ 0.61 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 3.65 ล้านบาท หรือ 598.36% และมีกำไรขั้นต้น 25.18 ล้านบาท หรืออัตรากำไรขั้นต้น 15.15% เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนที่มีกำไรขั้นต้น 18.84 ล้านบาท หรืออัตรากำไรขั้นต้น 12.24% ซึ่งถือว่ามีแนวโน้มที่ดีขึ้น
ทั้งนี้ รายได้ของบริษัทปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากมีรถที่ให้บริการลูกค้าเดิมและลูกค้าใหม่เพิ่มจำนวน 8 คัน ขณะที่ กำไรสุทธิปรับตัวลดลงเล็กน้อย เนื่องจากบริษัทมีค่าใช้จ่ายต่อเนื่องในการปรับปรุงสภาพรถเพื่อให้บริการลูกค้าที่ใช้บริการครบกำหนดสัญญายังคงใช้รถเดิมต่อไปในระยะยาว อีกจำนวน 38 คัน คิดเป็นค่าใช้จ่ายประมาณ 4.77 ล้านบาท อีกทั้งค่าเฉลี่ยราคาน้ำมันอยู่ในระดับที่สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้ว
สำหรับทิศทางการดำเนินธุรกิจไตรมาส 2/66 เติบโตในเกณฑ์ดี ทั้งอัตรากำไรต่างๆ ปรับตัวดีขึ้น ต้นทุนการดำเนินงาน และราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับรถที่ปรับปรุงสภาพในช่วงไตรมาส 4/65 และไตรมาส 1/66 ทยอยกลับมาให้บริการและสามารถรับรู้รายได้ตามปกติ
ขณะที่การให้บริการรถไฟฟ้า กระแสตอบรับดีมีลูกค้าสนใจใช้บริการจำนวนมาก ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจา 3-4 ราย คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในไตรมาส 2/66 นี้ เบื้องต้นคาดว่าจะใช้รถไฟฟ้าจำนวนประมาณ 20-30 คัน ซึ่งบริษัทมีความพร้อมในการจัดหารถเพื่อมาให้บริการ