AH โชว์ฟอร์มดีผลงาน Q1/66 รายได้รวม 8,197 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% และกำไรสุทธิหลัก 597 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 47% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน หลังธุรกิจผลิตชิ้นส่วนยานยนต์-โชว์รูมรถยนต์โตดี ดันยอดผลิตและยอดขายพุ่ง ล่าสุดเซ็นสัญญารับจ้างผลิตตัวถังน้ำมันรถยนต์ มูลค่า 150 ล้านบาท ชูกลยุทธ์สร้างการเติบโตแบบ Organic Growth บริษัทลูกโปรตุเกสเทิร์นอะราวด์รับผลบวกเต็มปี มั่นใจทั้งปี 66 รายได้โตตามเป้า 15%
นายเย็บ ซู ชวน ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อาปิโก ไฮเทค จำกัด (มหาชน) หรือ AH ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ ธุรกิจตัวแทนจำหน่ายรถยนต์และศูนย์บริการหลังการขาย และธุรกิจให้บริการด้านเทคโนโลยีการเชื่อมต่อ และ IoT (Internet of Things) เปิดเผยถึงผลประกอบการไตรมาส 1/66 ว่า บริษัทมีรายได้รวม 8,197 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 1,382 ล้านบาท หรือเติบโต 20% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 6,815 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิหลัก 597 ล้านบาท หรือเติบโต 47% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ทำไว้ 406 ล้านบาท
โดยผลประกอบการไตรมาส 1/66 มีปัจจัยสนับสนุนมาจากความต้องการในระดับที่สูงและการคลี่คลายของปัญหาการขาดแคลนไมโครชิป ทำให้มีคำสั่งผลิต (Order) จากธุรกิจการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์เพิ่มขึ้น ประกอบกับธุรกิจตัวแทนจำหน่ายและศูนย์บริการรถยนต์ฟื้นตัวได้ดี ตามอุตสาหกรรมยานยนต์และภาวะเศรษฐกิจที่ขยายตัวต่อเนื่อง ส่วนธุรกิจเทคโนโลยีและการเชื่อมต่อ IoT ยังคงมีทิศทางที่ดี ซึ่งในปีนี้เริ่มมีออเดอร์เกี่ยวกับการผลิตชิ้นส่วนอุปกรณ์ GPS และอุปกรณ์ติดตามเข้ามามากขึ้น
ทั้งนี้แม้ว่าไตรมาส 2/66 มีช่วงสงกรานต์ที่มีวันหยุดยาว ทำให้ไลน์การผลิตหยุดตามไปด้วย แต่โดยภาพรวมเชื่อว่าแนวโน้มการดำเนินงานไตรมาส 2/66 น่าจะเติบโตจากไตรมาส 2/65 อ้างอิงจากตัวเลขประเมินของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) คาดการณ์การผลิตรถยนต์ปี 66 อยู่ที่ 1.95 ล้านคัน เพิ่มขึ้นจากปี 65 อยู่ที่ 3.53% โดยแบ่งเป็นการผลิตเพื่อส่งออก 1.05 ล้านคัน และ ผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศอยู่ที่ 9 แสนคัน ขณะที่ล่าสุดบริษัทได้เซ็นสัญญารับจ้างผลิตตัวถังน้ำมันรถยนต์ มูลค่า 150 ล้านบาท คาดว่าจะส่งมอบออเดอร์ดังกล่าวให้กับลูกค้าในอีก 2 ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นไปตามกระบวนการทำงานของบริษัท
ด้านธุรกิจตัวแทนจำหน่ายและศูนย์บริการรถยนต์ในไทยยังขยายตัวได้ดี จากการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ และรายได้จากโชว์รูมใหม่มีการรับรู้รายได้เต็มปีในปี 66 นี้ โดยบริษัทมีโชว์รูมรถยนต์ในไทยและมาเลเซีย แบ่งเป็น ในไทยมีโชว์รูม Mazda 1 สาขา ที่นวนคร , MG มี 2 สาขา ที่ปทุมธานี และสุขาภิบาล 3 , Mitsubishi มี 5 สาขาได้แก่ ปากเกร็ด / ปทุมธานี / รัชดา / ลาดกระบัง-กิ่งแก้ว / แจ้งวัฒนะ และ Ford มี 3 สาขา ได้แก่ สมุทรปราการ / รามอินทรา / ลำลูกกา ส่วนมาเลเซียเป็นโชว์รูมรถยนต์ยี่ห้อ PROTON และ Honda
นอกจากนี้ภายหลังที่ AH ร่วมทุนกับ Purem International GmbH (พูเรม) ภายใต้ชื่อ บริษัท พูเรม อาปิโก จำกัด ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำด้านการพัฒนา การผลิต และผู้จำหน่ายระบบยานยนต์ระดับโลก ในระบบควบคุมการปล่อยไอเสียและส่วนประกอบที่เกี่ยวข้อง สำหรับรถยนต์นั่งส่วนบุคคล และรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ทั้งเครื่องยนต์เบนซินและดีเซล รวมถึงระบบควบคุมสภาพอากาศของรถยนต์ ปัจจุบันความคืบหน้าการก่อสร้างโรงงานที่มาเลเซียและในไทยใกล้เสร็จสมบูรณ์แล้ว ซึ่งคาดว่าน่าจะเริ่มทดสอบระบบและเดินเครื่องผลิตได้ในช่วงครึ่งหลังปี 66 เป็นต้นไป
ขณะเดียวกันบริษัทย่อยที่โปรตุเกส ดำเนินธุรกิจผลิตชิ้นส่วน ได้ผ่านจุดคุ้มทุนตั้งแต่ไตรมาส 3/65 ซึ่งพลิกเทิร์นอะราวด์กลับมามีกำไรตั้งแต่ไตรมาส 4/65 ต่อเนื่องมาถึงไตรมาส 1/66 และจะรับผลบวกเต็มในปี 66 หลังจากบริษัทปรับราคาขาย และมีรายได้เพิ่มจากการกระจายผลิตภัณฑ์ไปยังธุรกิจที่นอกเหนือจากธุรกิจผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ ได้แก่ ชิ้นส่วนที่ใช้ในธุรกิจโซลาร์ฟาร์ม ชิ้นส่วนสำหรับอุปกรณ์กีฬา รวมถึงชิ้นส่วนสำหรับรางรถไฟ เป็นต้น ทำให้สามารถบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
สำหรับเป้าหมายรายได้ในปี 66 บริษัทมั่นใจว่ารายได้รวมจะทำนิวไฮต่อเนื่องและเติบโตดีที่สุด โดยตั้งเป้าเติบโต 15% จากปี 65 มาอยู่ที่ระดับ 32,000 ล้านบาท ภายใต้การเติบโตแบบ Organic Growth จาก 1) คำสั่งซื้อของฐานลูกค้าเดิม 2) การได้คำสั่งซื้อใหม่เป็นโมเดล Global Market และธุรกิจรับจ้างผลิต (OEM) ในประเทศที่ถือเป็นช่วงเปลี่ยนโมเดลสำหรับรถกระบะใหม่ของ Ford 3) คำสั่งซื้อชิ้นส่วนประกอบตัวถังสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า (EV Car) จาก Vinfast รวม 2 รุ่น และ 4) จากการเทิร์นอะราวด์ของบริษัทย่อยที่โปรตุเกส ซึ่งปัจจัยดังกล่าวจะเป็นปัจจัยขับเคลื่อนที่สำคัญให้ผลการดำเนินงานของบริษัทเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้
ขณะเดียวกันมุ่งเน้นเป้าหมายขึ้นแท่นเป็นบริษัทระดับสากล จากการมีฐานธุรกิจในหลายประเทศทั่วโลก ควบคู่กับความสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับลูกค้า OEM และชื่อเสียงของบริษัทในฐานะพันธมิตรที่เชื่อถือได้ โดยปัจจุบัน บริษัทมีตลาดในประเทศมาเลเซีย จีน ยุโรป โปรตุเกส และอินเดีย อีกทั้งมุ่งขยายธุรกิจ และสร้างการเติบโตให้มากขึ้นในประเทศสหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น ซึ่งเป็นฐานลูกค้าหลัก ส่วนในประเทศไทยมีทิศทางที่ดี และยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก ซึ่งบริษัทยังคงมองหาโอกาสเพื่อต่อยอดธุรกิจอยู่เสมอ
นายเย็บ ซู ชวน ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อาปิโก ไฮเทค จำกัด (มหาชน) หรือ AH ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ ธุรกิจตัวแทนจำหน่ายรถยนต์และศูนย์บริการหลังการขาย และธุรกิจให้บริการด้านเทคโนโลยีการเชื่อมต่อ และ IoT (Internet of Things) เปิดเผยถึงผลประกอบการไตรมาส 1/66 ว่า บริษัทมีรายได้รวม 8,197 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 1,382 ล้านบาท หรือเติบโต 20% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 6,815 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิหลัก 597 ล้านบาท หรือเติบโต 47% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ทำไว้ 406 ล้านบาท
โดยผลประกอบการไตรมาส 1/66 มีปัจจัยสนับสนุนมาจากความต้องการในระดับที่สูงและการคลี่คลายของปัญหาการขาดแคลนไมโครชิป ทำให้มีคำสั่งผลิต (Order) จากธุรกิจการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์เพิ่มขึ้น ประกอบกับธุรกิจตัวแทนจำหน่ายและศูนย์บริการรถยนต์ฟื้นตัวได้ดี ตามอุตสาหกรรมยานยนต์และภาวะเศรษฐกิจที่ขยายตัวต่อเนื่อง ส่วนธุรกิจเทคโนโลยีและการเชื่อมต่อ IoT ยังคงมีทิศทางที่ดี ซึ่งในปีนี้เริ่มมีออเดอร์เกี่ยวกับการผลิตชิ้นส่วนอุปกรณ์ GPS และอุปกรณ์ติดตามเข้ามามากขึ้น
ทั้งนี้แม้ว่าไตรมาส 2/66 มีช่วงสงกรานต์ที่มีวันหยุดยาว ทำให้ไลน์การผลิตหยุดตามไปด้วย แต่โดยภาพรวมเชื่อว่าแนวโน้มการดำเนินงานไตรมาส 2/66 น่าจะเติบโตจากไตรมาส 2/65 อ้างอิงจากตัวเลขประเมินของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) คาดการณ์การผลิตรถยนต์ปี 66 อยู่ที่ 1.95 ล้านคัน เพิ่มขึ้นจากปี 65 อยู่ที่ 3.53% โดยแบ่งเป็นการผลิตเพื่อส่งออก 1.05 ล้านคัน และ ผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศอยู่ที่ 9 แสนคัน ขณะที่ล่าสุดบริษัทได้เซ็นสัญญารับจ้างผลิตตัวถังน้ำมันรถยนต์ มูลค่า 150 ล้านบาท คาดว่าจะส่งมอบออเดอร์ดังกล่าวให้กับลูกค้าในอีก 2 ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นไปตามกระบวนการทำงานของบริษัท
ด้านธุรกิจตัวแทนจำหน่ายและศูนย์บริการรถยนต์ในไทยยังขยายตัวได้ดี จากการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ และรายได้จากโชว์รูมใหม่มีการรับรู้รายได้เต็มปีในปี 66 นี้ โดยบริษัทมีโชว์รูมรถยนต์ในไทยและมาเลเซีย แบ่งเป็น ในไทยมีโชว์รูม Mazda 1 สาขา ที่นวนคร , MG มี 2 สาขา ที่ปทุมธานี และสุขาภิบาล 3 , Mitsubishi มี 5 สาขาได้แก่ ปากเกร็ด / ปทุมธานี / รัชดา / ลาดกระบัง-กิ่งแก้ว / แจ้งวัฒนะ และ Ford มี 3 สาขา ได้แก่ สมุทรปราการ / รามอินทรา / ลำลูกกา ส่วนมาเลเซียเป็นโชว์รูมรถยนต์ยี่ห้อ PROTON และ Honda
นอกจากนี้ภายหลังที่ AH ร่วมทุนกับ Purem International GmbH (พูเรม) ภายใต้ชื่อ บริษัท พูเรม อาปิโก จำกัด ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำด้านการพัฒนา การผลิต และผู้จำหน่ายระบบยานยนต์ระดับโลก ในระบบควบคุมการปล่อยไอเสียและส่วนประกอบที่เกี่ยวข้อง สำหรับรถยนต์นั่งส่วนบุคคล และรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ทั้งเครื่องยนต์เบนซินและดีเซล รวมถึงระบบควบคุมสภาพอากาศของรถยนต์ ปัจจุบันความคืบหน้าการก่อสร้างโรงงานที่มาเลเซียและในไทยใกล้เสร็จสมบูรณ์แล้ว ซึ่งคาดว่าน่าจะเริ่มทดสอบระบบและเดินเครื่องผลิตได้ในช่วงครึ่งหลังปี 66 เป็นต้นไป
ขณะเดียวกันบริษัทย่อยที่โปรตุเกส ดำเนินธุรกิจผลิตชิ้นส่วน ได้ผ่านจุดคุ้มทุนตั้งแต่ไตรมาส 3/65 ซึ่งพลิกเทิร์นอะราวด์กลับมามีกำไรตั้งแต่ไตรมาส 4/65 ต่อเนื่องมาถึงไตรมาส 1/66 และจะรับผลบวกเต็มในปี 66 หลังจากบริษัทปรับราคาขาย และมีรายได้เพิ่มจากการกระจายผลิตภัณฑ์ไปยังธุรกิจที่นอกเหนือจากธุรกิจผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ ได้แก่ ชิ้นส่วนที่ใช้ในธุรกิจโซลาร์ฟาร์ม ชิ้นส่วนสำหรับอุปกรณ์กีฬา รวมถึงชิ้นส่วนสำหรับรางรถไฟ เป็นต้น ทำให้สามารถบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
สำหรับเป้าหมายรายได้ในปี 66 บริษัทมั่นใจว่ารายได้รวมจะทำนิวไฮต่อเนื่องและเติบโตดีที่สุด โดยตั้งเป้าเติบโต 15% จากปี 65 มาอยู่ที่ระดับ 32,000 ล้านบาท ภายใต้การเติบโตแบบ Organic Growth จาก 1) คำสั่งซื้อของฐานลูกค้าเดิม 2) การได้คำสั่งซื้อใหม่เป็นโมเดล Global Market และธุรกิจรับจ้างผลิต (OEM) ในประเทศที่ถือเป็นช่วงเปลี่ยนโมเดลสำหรับรถกระบะใหม่ของ Ford 3) คำสั่งซื้อชิ้นส่วนประกอบตัวถังสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า (EV Car) จาก Vinfast รวม 2 รุ่น และ 4) จากการเทิร์นอะราวด์ของบริษัทย่อยที่โปรตุเกส ซึ่งปัจจัยดังกล่าวจะเป็นปัจจัยขับเคลื่อนที่สำคัญให้ผลการดำเนินงานของบริษัทเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้
ขณะเดียวกันมุ่งเน้นเป้าหมายขึ้นแท่นเป็นบริษัทระดับสากล จากการมีฐานธุรกิจในหลายประเทศทั่วโลก ควบคู่กับความสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับลูกค้า OEM และชื่อเสียงของบริษัทในฐานะพันธมิตรที่เชื่อถือได้ โดยปัจจุบัน บริษัทมีตลาดในประเทศมาเลเซีย จีน ยุโรป โปรตุเกส และอินเดีย อีกทั้งมุ่งขยายธุรกิจ และสร้างการเติบโตให้มากขึ้นในประเทศสหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น ซึ่งเป็นฐานลูกค้าหลัก ส่วนในประเทศไทยมีทิศทางที่ดี และยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก ซึ่งบริษัทยังคงมองหาโอกาสเพื่อต่อยอดธุรกิจอยู่เสมอ