บมจ.เงินติดล้อ (TIDLOR) ผลงานไตรมาสแรกของปี66 ออกมาดี หลังเน้นคุณภาพสินเชื่อ หนุนรายได้ค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้นแข็งแกร่ง แนวโน้มกำไรมีเสถียรภาพ
บล.เคจีไอ วิเคราะห์หุ้น บมจ.เงินติดล้อ (TIDLOR) โดยระบุว่า กำไรสุทธิของ TIDLOR ใน 1Q66 อยู่ที่ 955 ล้านบาท (+16% QoQ และ +2% YoY) ดีกว่าประมาณการของบริษัท/consensus 10%/5% ตามลำดับ เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองน้อยกว่าที่คาดเอาไว้ ทั้งนี้ กำไรใน 1Q66 คิดเป็น 26% ของประมาณการกำไรเต็มปี
โดยสินเชื่อขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง ในขณะที่ต้นทุนทางการเงินขยับเพิ่มขึ้นเล็กน้อย สินเชื่อรวมขยายตัว 2% QoQ และ 26% YoY สอดคล้องกับกลยุทธ์ของบริษัท ที่หันไปเน้นคุมคุณภาพสินทรัพย์ ซึ่งเมื่อพิจารณาเป็นรายกลุ่ม สินเชื่อรถบรรทุก (15-20% ของสินเชื่อรวม) ทรงตัว QoQ แต่เพิ่มขึ้น 11% YoY ในขณะที่สินเชื่อจำนำทะเบียนเพิ่มขึ้น 2.5% QoQ และ 29% YoY ทั้งนี้ สินเชื่อที่โตต่ำเป็นความตั้งใจของบริษัทที่จะรักษาระดับ NPL เอาไว้ให้ <2% ในขณะเดียวกัน yield สินเชื่อลดลงเล็กน้อยประมาณ 10bps ส่วนต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้นเพียงสองสามเล็กน้อยส่งผลให้ NIM ลดลงเล็กน้อยเพียงไม่ถึง 20bps
ขณะที่รายได้ค่าธรรมเนียม และรายได้อื่น (>90% มาจากประกัน และค่านายหน้า) ลดลง 9% QoQ (เพราะรายได้สูงตามฤดูกาลในไตรมาสที่สี่) แต่เพิ่มขึ้น 29% YoY ซึ่งสูงกว่าเป้าปีนี้ของบริษัทที่ 20% ซึ่งรายได้ค่าธรรมเนียมที่เพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งนี้สอดคล้องกับการพัฒนาแพลตฟอร์มในการโตธุรกิจประกัน
gross NPL ลดลงเล็กน้อยผิดคาดที่ -3% QoQ แต่เพิ่มขึ้น 51% YoY ส่วนหนึ่งเป็นการสะท้อนถึงการ write-off NPL ใน 1Q66 โดยสัดส่วน NPL coverage เพิ่มขึ้นเป็น 270% ใน 1Q66 (จาก 250% ใน 4Q65) ทั้งนี้ ในการบริหาร NPL ให้ลดลง บริษัทได้ตั้งสำรองในระดับเท่ากับในไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งคิดเป็น credit cost ที่3.2% (เท่ากับใน 4Q65)
ซึ่งบริษัทเห็นสัญญาณว่า แนวโน้มกำไรของ TIDLOR จะมีเสถียรภาพ เนื่องจากบริหารจัดการ credit cost ได้มากขึ้น และ NPL นิ่งขึ้นแล้ว ถึงแม้ว่า NPL จะยังสูง แต่เราคิดว่าน่าจะถึงจุดสูงสุดของวัฏจักรในกลางปีนี้ ในขณะที่ความสามารถในการเพิ่มรายได้ค่าธรรมเนียมจะช่วยให้บริษัทสามารถบริหารจัดการ credit cost ที่อาจจะพุ่งสูงขึ้นในไตรมาสต่อไปได้ ทั้งนี้ เนื่องจากกำไรใน 1Q66 คิดเป็น 26% ของประมาณการกำไรเต็มปีของเรา และราคาเป้าหมายของเรายังมี upside อีก ดังนั้น เราจึงปรับเพิ่มคำแนะนำจากถือเป็น “ซื้อ” โดยยังคงราคาเป้าหมายปี 2566F เอาไว้เท่าเดิมที่ 30.50 บาท (PE ที่ 20x)
โดยความเสี่ยงที่ต้องติดตามได้แก่ NPL เพิ่มขึ้น และ credit cost เพิ่มขึ้น,รายได้ค่าธรรมเนียมไม่โตตามเป้า
ขณะที่ บล. กรุงศรี ระบุ TIDLOR รายงานกำไรสุทธิ1Q23 ที่ 955 ลบ. ดีกว่าเราและตลาดคาด +8% เพราะรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย (Non-NII) ดีกว่าคาด โดยกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น +2% y-y เพราะ
1. รายได้ดอกเบี้ย (NII) เพิ่มขึ้น +27% y-y จากการเติบโตของสินเชื่อรวม +26% y-y และ +2% q-q หรือคิดเป็น +2% YTD ผลบวกจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่มีมากขึ้น การออกผลิตภัณฑ์บัตรติดล้อในกลุ่มรถยนต์-จักรยานยนต์และการขยายสาขาเพิ่ม
2. รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย (Non-NII) เพิ่มขึ้น +31% y-y จากรายได้ค่าธรรมเนียม นายหน้าขายประกัน สำหรับกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น +17% q-q จาก ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (OPEX) ลดลง -9% q-q ตามปัจจัยฤดูกาล สำหรับคุณภาพสินทรัพย์ NPL Ratio ที่ 1.50% ลดลงเล็กน้อยจาก 4Q22 ที่1.58%
กำไรสุทธิ 1Q23 คิดเป็น 27% ของกำไรสุทธิทั้งปี คาดที่ 3,527 ลบ. ลดลง -3% y-y
ส่วนรายได้ดอกเบี้ย NII ที่ 3,172 ลบ. (+27% y-y, +1% q-q): การเพิ่มขึ้น y-y และ q-q เพราะการเติบโตของสินเชื่อรวม +26% y-y และ +2% q-q คิดเป็น +2% YTD ผลบวกจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่มีมากขึ้น การออกผลิตภัณฑ์บัตรติดล้อในกลุ่มรถยนต์-จักรยานยนต์และการขยายสาขาเพิ่ม 1 สาขา q-q ทำให้ 1Q23 มีจำนวนสาขาทั้งหมด 1,629 สาขา สำหรับ NIM อยู่ที่15.5% ลดลงจาก 1Q22และ 4Q22 ที่15.7% และ 16.1% เพราะต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้น
รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย Non-NII ที่778 ลบ. (+31% y-y, -8% q-q): การเพิ่มขึ้น y-yขณะที่ลดลง q-q ตามรายได้ค่าธรรมเนียมนายหน้าขายประกัน
ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน OPEX ที่ 2,120 ลบ. (+19% y-y,-9% q-q): การเพิ่มขึ้น y-y เพราะค่าใช้จ่ายด้านบุคคลและการตลาด ขณะที่ลดลง q-q ตามปัจจัยฤดูกาล โดยอัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้(C/I) ที่53.7% เทียบกับ 1Q22 ที่ 57.5% และ 4Q22 ที่ 58.5%
ค่าใช้จ่ายสำรอง ECL ที่ 635 ลบ. (+354% y-y, -2% q-q): การเพิ่มขึ้น y-y ลดลง q-q เพราะ Gross NPL เพิ่มขึ้น +52% y-y ลดลง -3% q-q ทำให้NPL Ratio อยู่ที่ 1.50% ลดลงเล็กน้อย จาก 4Q22 ที่ 1.58% สำหรับ coverage ratio คงระดับสูงที่270% เทียบกับ 4Q22 ที่249%
บริษัทคาดกำไรสุทธิ2Q23F ลดลง y-y ทรงตัว q-q กดดันหลักจากค่าใช้จ่ายสำรองที่ยังคงระดับสูง สำหรับเรื่องรายได้รวม เรายังมองว่ามีแนวโน้มเติบโต ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อรวม และค่าธรรมเนียม-บริการ โดย กำไรสุทธิ 2023F คาดที่ 3,527 ลบ. ลดลง -3% y-y
คงคำแนะนำ NEUTRAL และคง TP23F ที่ 25 บ. เพราะคาดคุณภาพสินทรัพย์ยังอ่อนแอ ทำให้คาดว่าค่าใช้จ่ายสำรอง (credit cost) และ NPL Ratio ยังคงอยู่ระดับสูง กดดันผลประกอบการอีกประมาณ 1-2ไตรมาส โดยเราคาดว่า จะเริ่มเห็นคุณภาพสินทรัพย์กลับมาดีขึ้นช่วง 2H23F
บล.เคจีไอ วิเคราะห์หุ้น บมจ.เงินติดล้อ (TIDLOR) โดยระบุว่า กำไรสุทธิของ TIDLOR ใน 1Q66 อยู่ที่ 955 ล้านบาท (+16% QoQ และ +2% YoY) ดีกว่าประมาณการของบริษัท/consensus 10%/5% ตามลำดับ เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองน้อยกว่าที่คาดเอาไว้ ทั้งนี้ กำไรใน 1Q66 คิดเป็น 26% ของประมาณการกำไรเต็มปี
โดยสินเชื่อขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง ในขณะที่ต้นทุนทางการเงินขยับเพิ่มขึ้นเล็กน้อย สินเชื่อรวมขยายตัว 2% QoQ และ 26% YoY สอดคล้องกับกลยุทธ์ของบริษัท ที่หันไปเน้นคุมคุณภาพสินทรัพย์ ซึ่งเมื่อพิจารณาเป็นรายกลุ่ม สินเชื่อรถบรรทุก (15-20% ของสินเชื่อรวม) ทรงตัว QoQ แต่เพิ่มขึ้น 11% YoY ในขณะที่สินเชื่อจำนำทะเบียนเพิ่มขึ้น 2.5% QoQ และ 29% YoY ทั้งนี้ สินเชื่อที่โตต่ำเป็นความตั้งใจของบริษัทที่จะรักษาระดับ NPL เอาไว้ให้ <2% ในขณะเดียวกัน yield สินเชื่อลดลงเล็กน้อยประมาณ 10bps ส่วนต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้นเพียงสองสามเล็กน้อยส่งผลให้ NIM ลดลงเล็กน้อยเพียงไม่ถึง 20bps
ขณะที่รายได้ค่าธรรมเนียม และรายได้อื่น (>90% มาจากประกัน และค่านายหน้า) ลดลง 9% QoQ (เพราะรายได้สูงตามฤดูกาลในไตรมาสที่สี่) แต่เพิ่มขึ้น 29% YoY ซึ่งสูงกว่าเป้าปีนี้ของบริษัทที่ 20% ซึ่งรายได้ค่าธรรมเนียมที่เพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งนี้สอดคล้องกับการพัฒนาแพลตฟอร์มในการโตธุรกิจประกัน
gross NPL ลดลงเล็กน้อยผิดคาดที่ -3% QoQ แต่เพิ่มขึ้น 51% YoY ส่วนหนึ่งเป็นการสะท้อนถึงการ write-off NPL ใน 1Q66 โดยสัดส่วน NPL coverage เพิ่มขึ้นเป็น 270% ใน 1Q66 (จาก 250% ใน 4Q65) ทั้งนี้ ในการบริหาร NPL ให้ลดลง บริษัทได้ตั้งสำรองในระดับเท่ากับในไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งคิดเป็น credit cost ที่3.2% (เท่ากับใน 4Q65)
ซึ่งบริษัทเห็นสัญญาณว่า แนวโน้มกำไรของ TIDLOR จะมีเสถียรภาพ เนื่องจากบริหารจัดการ credit cost ได้มากขึ้น และ NPL นิ่งขึ้นแล้ว ถึงแม้ว่า NPL จะยังสูง แต่เราคิดว่าน่าจะถึงจุดสูงสุดของวัฏจักรในกลางปีนี้ ในขณะที่ความสามารถในการเพิ่มรายได้ค่าธรรมเนียมจะช่วยให้บริษัทสามารถบริหารจัดการ credit cost ที่อาจจะพุ่งสูงขึ้นในไตรมาสต่อไปได้ ทั้งนี้ เนื่องจากกำไรใน 1Q66 คิดเป็น 26% ของประมาณการกำไรเต็มปีของเรา และราคาเป้าหมายของเรายังมี upside อีก ดังนั้น เราจึงปรับเพิ่มคำแนะนำจากถือเป็น “ซื้อ” โดยยังคงราคาเป้าหมายปี 2566F เอาไว้เท่าเดิมที่ 30.50 บาท (PE ที่ 20x)
โดยความเสี่ยงที่ต้องติดตามได้แก่ NPL เพิ่มขึ้น และ credit cost เพิ่มขึ้น,รายได้ค่าธรรมเนียมไม่โตตามเป้า
ขณะที่ บล. กรุงศรี ระบุ TIDLOR รายงานกำไรสุทธิ1Q23 ที่ 955 ลบ. ดีกว่าเราและตลาดคาด +8% เพราะรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย (Non-NII) ดีกว่าคาด โดยกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น +2% y-y เพราะ
1. รายได้ดอกเบี้ย (NII) เพิ่มขึ้น +27% y-y จากการเติบโตของสินเชื่อรวม +26% y-y และ +2% q-q หรือคิดเป็น +2% YTD ผลบวกจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่มีมากขึ้น การออกผลิตภัณฑ์บัตรติดล้อในกลุ่มรถยนต์-จักรยานยนต์และการขยายสาขาเพิ่ม
2. รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย (Non-NII) เพิ่มขึ้น +31% y-y จากรายได้ค่าธรรมเนียม นายหน้าขายประกัน สำหรับกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น +17% q-q จาก ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (OPEX) ลดลง -9% q-q ตามปัจจัยฤดูกาล สำหรับคุณภาพสินทรัพย์ NPL Ratio ที่ 1.50% ลดลงเล็กน้อยจาก 4Q22 ที่1.58%
กำไรสุทธิ 1Q23 คิดเป็น 27% ของกำไรสุทธิทั้งปี คาดที่ 3,527 ลบ. ลดลง -3% y-y
ส่วนรายได้ดอกเบี้ย NII ที่ 3,172 ลบ. (+27% y-y, +1% q-q): การเพิ่มขึ้น y-y และ q-q เพราะการเติบโตของสินเชื่อรวม +26% y-y และ +2% q-q คิดเป็น +2% YTD ผลบวกจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่มีมากขึ้น การออกผลิตภัณฑ์บัตรติดล้อในกลุ่มรถยนต์-จักรยานยนต์และการขยายสาขาเพิ่ม 1 สาขา q-q ทำให้ 1Q23 มีจำนวนสาขาทั้งหมด 1,629 สาขา สำหรับ NIM อยู่ที่15.5% ลดลงจาก 1Q22และ 4Q22 ที่15.7% และ 16.1% เพราะต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้น
รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย Non-NII ที่778 ลบ. (+31% y-y, -8% q-q): การเพิ่มขึ้น y-yขณะที่ลดลง q-q ตามรายได้ค่าธรรมเนียมนายหน้าขายประกัน
ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน OPEX ที่ 2,120 ลบ. (+19% y-y,-9% q-q): การเพิ่มขึ้น y-y เพราะค่าใช้จ่ายด้านบุคคลและการตลาด ขณะที่ลดลง q-q ตามปัจจัยฤดูกาล โดยอัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้(C/I) ที่53.7% เทียบกับ 1Q22 ที่ 57.5% และ 4Q22 ที่ 58.5%
ค่าใช้จ่ายสำรอง ECL ที่ 635 ลบ. (+354% y-y, -2% q-q): การเพิ่มขึ้น y-y ลดลง q-q เพราะ Gross NPL เพิ่มขึ้น +52% y-y ลดลง -3% q-q ทำให้NPL Ratio อยู่ที่ 1.50% ลดลงเล็กน้อย จาก 4Q22 ที่ 1.58% สำหรับ coverage ratio คงระดับสูงที่270% เทียบกับ 4Q22 ที่249%
บริษัทคาดกำไรสุทธิ2Q23F ลดลง y-y ทรงตัว q-q กดดันหลักจากค่าใช้จ่ายสำรองที่ยังคงระดับสูง สำหรับเรื่องรายได้รวม เรายังมองว่ามีแนวโน้มเติบโต ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อรวม และค่าธรรมเนียม-บริการ โดย กำไรสุทธิ 2023F คาดที่ 3,527 ลบ. ลดลง -3% y-y
คงคำแนะนำ NEUTRAL และคง TP23F ที่ 25 บ. เพราะคาดคุณภาพสินทรัพย์ยังอ่อนแอ ทำให้คาดว่าค่าใช้จ่ายสำรอง (credit cost) และ NPL Ratio ยังคงอยู่ระดับสูง กดดันผลประกอบการอีกประมาณ 1-2ไตรมาส โดยเราคาดว่า จะเริ่มเห็นคุณภาพสินทรัพย์กลับมาดีขึ้นช่วง 2H23F