Talk of The Town

EP มั่นใจ "วินด์ฟาร์มเวียดนาม" จ่อ COD มิ.ย.นี้ คาดผลเจรจาอัตราค่าไฟใหม่ใกล้สรุป


15 พฤษภาคม 2566
บมจ.อีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป (EP) แย้ม โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมในประเทศเวียดนามขนาด 160 เมกะวัตต์ พร้อม COD  ในเดือน มิ.ย.นี้  เหตุเวียดนามเร่งรัดให้มีการจ่ายไฟฟ้าเร็วที่สุด โดยไม่ต้องรอผลสรุปการเจรจาค่าไฟฟ้า (FIT) ใหม่ ฟากบิ๊กบอส "ยุทธ ชินสุภัคกุล" เผย เดินหน้ารับรู้รายได้ทันที มั่นใจช่วยผลักดันรายได้จากธุรกิจไฟฟ้าปีนี้โตเข้าเป้า 2 เท่า หลังจากโชว์ผลงาน Q1/66 โครงการติดตั้ง Solar rooftop ดันรายได้ไฟฟ้าโตทะลัก 84.02%

ข่าวลูกค้า EP มั่นใจ วินด์ฟาร์มเวียดนาม จ่อ C.jpg
นายยุทธ ชินสุภัคกุล ประธานกรรมการ บริษัท อีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ EP เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2566 กลุ่มภาคเอกชนไทยได้มีการประชุมร่วมกับรองนายกรัฐมนตรีของรัฐบาลเวียดนามในเรื่องการเจรจาราคาค่าไฟฟ้าและการเสนอราคาชั่วคราว ซึ่งผลการเจรจาไปในทิศทางที่ดี โดยทางรองนายกฯ ได้เร่งรัดให้มีการออกใบอนุญาตผลิตไฟฟ้า (Electricity Generation License : EGL) ให้เร็วที่สุด โดยไม่ต้องรอผลการเจรจาค่า FIT ใหม่ และให้เร่งรัดการจ่ายไฟฟ้าทันที สำหรับโครงการที่ได้รับ EGL แล้ว โดยเสนอให้นักลงทุนรับค่าไฟฟ้าจากทาง EVN ในอัตรา 50% ของราคาสูงสุดที่ได้มีการประกาศไว้ (6.9 US cent)  และเมื่อได้ผลสรุปราคา FIT ทาง EVN ก็จะจ่ายคืนส่วนต่างทั้งหมดให้  ซึ่งจะทำให้โครงการของ EP ทั้ง 4 โครงการ สามารถเชื่อมต่อและจ่ายไฟฟ้าได้ทันที
"การที่ทางรองนายกฯเวียดนามได้มีข้อเสนอการจ่ายค่าไฟฟ้าในอัตราชั่วคราว เนื่องจากในช่วงเดือนกรกฎาคม ทางเวียดนามจะมีความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นมาก และกำลังผลิตที่มีอยู่ไม่เพียงพอ ทำให้มีโอกาสขาดแคลนไฟฟ้าขึ้น จึงจะต้องเร่งสรุปให้มีการจ่ายไฟฟ้าสำหรับโรงไฟฟ้าที่สร้างเสร็จแล้วโดยเร็วที่สุด โดยได้ตั้งเป้าหมายให้โครงการที่พร้อมสามารถดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายในการออก EGL เพื่อการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าภายในเดือนมิถุนายน 2566 ดังนั้น โครงการที่มีความพร้อม ก็จะสามารถเริ่มจ่ายไฟฟ้าได้ทันที 
สำหรับโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม (วินด์ฟาร์ม) ขนาดกำลังการผลิตรวม 160 เมกะวัตต์ ในประเทศเวียดนาม ประกอบด้วย โครงการในจังหวัด Gia Lai ขนาดกำลังผลิตรวม 100 เมกะวัตต์ และโครงการในจังหวัด Huong Linh ขนาดกำลังผลิตรวม 60 เมกะวัตต์  ปัจจุบันได้สร้างเสร็จสมบูรณ์ทุกโครงการแล้ว มีความพร้อมที่จะสามารถจ่ายไฟฟ้าได้ทันทีที่ได้รับการอนุมัติการเชื่อมต่อจากทาง EVN และคาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้ตั้งแต่ครึ่งหลังของปี 2566 เป็นต้นไป
นอกจากนี้ ในส่วนของการขายโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วมเมื่อปลายปี 2564 ซึ่งทางผู้ซื้อได้มีการหักเงินจากมูลค่าซื้อขายไว้บางส่วน อันเนื่องมาจากการที่บริษัท PPTC และ SSUT มีคดีเรียกร้องความเสียหายจากทางกลุ่มผู้รับเหมานั้น ทางอนุญาโตตุลาการได้มีคำชี้ขาดออกมาให้ทาง PPTC และ SSUT ได้รับเงินชดเชยความเสียหาย จากทางกลุ่มผู้รับเหมา รวม 534.52 ล้านบาท ในขณะที่ค่างวดก่อสร้างค้างจ่ายที่ได้บันทึกบัญชีไว้แล้ว ทางอนุญาโตตุลาการ ก็มีคำชี้ขาดให้ทาง PPTC และ SSUT จ่ายคืนแก่กลุ่มผู้รับเหมาในจำนวนรวมที่ต่ำกว่าที่บันทึกบัญชีเอาไว้ โดยทาง PPTC และ SSUT ได้ยื่นคำร้องขอบังคับตามคำชี้ขาดไปแล้ว อย่างไรก็ดี ทางกลุ่มผู้รับเหมาได้ใช้สิทธิในการฟ้องร้องเพิกถอนคำชี้ขาดดังกล่าวต่อศาลแพ่ง และเรื่องทั้งหมดกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณา ดังนั้น จึงมีโอกาสที่ทาง EP จะได้รับเงินที่หักสำรองไว้คืน พร้อมกับเงินส่วนเกินทั้งหมดที่ได้มาจากการเรียกร้องจากกลุ่มผู้รับเหมา และส่วนต่างของค่างวดที่ต้องจ่ายจริง ที่ต่ำกว่าที่ได้บันทึกบัญชีไว้ รวมทั้งสิ้นกว่า 800 ล้านบาทอีกด้วย
ทั้งนี้ ภาพรวมการดำเนินธุรกิจในปี 2566 บริษัทฯตั้งเป้าหมายรายได้รวมปีนี้จะเติบโตมากกว่า 50% โดยเฉพาะธุรกิจโรงไฟฟ้าคาดว่าจะมีการเติบโตรายได้เพิ่มขึ้น 2 เท่า เนื่องจากจะมีรายได้จากโครงการโรงไฟฟ้าที่มีอยู่ในพอร์ตลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการติดตั้ง Solar Rooftop, Solar farm และการขายไฟฟ้าให้เอกชนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากในปีนี้อัตราค่าไฟฟ้าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ทำให้ความต้องการติดตั้งเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันบริษัทสามารถขายไฟฟ้าให้กับภาคเอกชนได้มากขึ้นด้วย 
อนึ่ง ผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/2566 รายได้จากธุรกิจไฟฟ้าอยู่ที่ 38.52 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 84.02% จากงวดเดียวกันปีก่อนอยู่ที่ 20.93 ล้านบาท เนื่องจากมีรายได้จากการติดตั้ง Solar rooftop เพิ่มขึ้น
EP