Wealth Sharing
KJL กำไร Q1/66 ที่ 33.65 ลบ. โต 20 % รับอานิสงส์ราคาวัตถุดิบลด+คุมต้นทุนได้ดี
15 พฤษภาคม 2566
“กิจเจริญ เอ็นจิเนียริ่ง อีเลคทริค” ฟันกำไร Q1/66 ที่ 33.65 ลบ. เพิ่มขึ้น 20.01% YOY หลังราคาวัตถุดิบปรับตัวลดลง ใช้เทคโนโลยี Industry 4.0 คุมต้นทุนได้ดี เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ดันมาร์จิ้นเพิ่ม
นายเกษมสันต์ สุจิวโรดม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กิจเจริญ เอ็นจิเนียริ่ง อีเลคทริค จำกัด (มหาชน) หรือ KJL เปิดเผยว่า ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2566 บริษัท ฯ มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 33.65 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.61 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 20.01 % จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 28.04 ล้านบาท โดยที่กำไรสุทธิของบริษัทฯที่เพิ่มขึ้นมีสาเหตุหลักเกิดจากราคาต้นทุนวัตถุดิบหลักที่ลดลง โดยราคาเหล็กแผ่นลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 16.48 % รวมถึงการที่บริษัทฯมีการใช้เทคโนโลยีระบบควบคุมการผลิตแบบ Industry 4.0 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต ได้แก่ เครื่องตัดเลเซอร์ เครื่องเจาะด้วยระบบคอมพิวเตอร์ เครื่องพับ และหุ่นยนต์พับอัตโนมัติ เป็นต้น ทำให้บริษัท ฯ ควบคุมต้นทุนค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับพนักงานฝ่ายผลิตได้มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้อัตรากำไรสุทธิในไตรมาสแรกของปี 2566 อยู่ที่ 13.98 % เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 11.44 % และเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าที่อยู่ที่ 12.50 %
ในขณะที่รายได้จากการขายของบริษัท ฯ ในไตรมาสแรกของปี 2566 อยู่ที่ 239.63 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนจำนวน 4.57 ล้านบาท หรือคิดเป็นลดลง 1.87 % และลดลงจากไตรมาสก่อนหน้าจำนวน 25.98 ล้านบาท หรือคิดเป็นลดลง 9.78 % โดยมีสาเหตุหลักจากการที่บริษัทฯได้มีจัดการส่งเสริมการขายสำหรับสินค้ามาตรฐาน และการปรับลดราคาสำหรับสินค้าสั่งผลิตเพื่อให้ราคาสินค้าสอดคล้องกับราคาวัตถุดิบหลักที่ลดลง โดยเฉพาะโลหะแผ่น นอกจากนี้ราคาขายเศษเหล็กก็ลดลงตามไปด้วยทำให้บริษัทมีรายได้โดยรวมลดลง โดยรายได้ส่วนใหญ่ของบริษัทฯ ยังคงเป็นสินค้ามาตรฐานเคเจแอล ตู้ไซส์มาตรฐาน รางไวร์เวย์ และพูลบ๊อกซ์ ที่มีสัดส่วนถึง 70.78 %
“ในไตรมาสแรกของปีนี้ถึงแม้ว่าในส่วนของรายได้รวมจะปรับตัวลดลงบ้าง แต่เป็นสาเหตุจากการทำการตลาด และการปรับราคาขายลงจากต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลง ซึ่งสินค้าหลักของบริษัทฯยังเป็นที่ต้องการ และได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเราเองได้ให้ความสำคัญกับการใช้เทคโนโลยีเข้ามาสนับสนุนด้านการผลิตเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และสามารถบริหารจัดการต้นทุนและค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้ตัวเลขยอดขายอาจจะปรับลดลง แต่ความสามารถในการทำกำไรของเรายังคงปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเป็นส่วนที่เราให้ความสำคัญมาอย่างต่อเนื่อง” นายเกษมสันต์กล่าว
นายเกษมสันต์ สุจิวโรดม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กิจเจริญ เอ็นจิเนียริ่ง อีเลคทริค จำกัด (มหาชน) หรือ KJL เปิดเผยว่า ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2566 บริษัท ฯ มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 33.65 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.61 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 20.01 % จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 28.04 ล้านบาท โดยที่กำไรสุทธิของบริษัทฯที่เพิ่มขึ้นมีสาเหตุหลักเกิดจากราคาต้นทุนวัตถุดิบหลักที่ลดลง โดยราคาเหล็กแผ่นลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 16.48 % รวมถึงการที่บริษัทฯมีการใช้เทคโนโลยีระบบควบคุมการผลิตแบบ Industry 4.0 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต ได้แก่ เครื่องตัดเลเซอร์ เครื่องเจาะด้วยระบบคอมพิวเตอร์ เครื่องพับ และหุ่นยนต์พับอัตโนมัติ เป็นต้น ทำให้บริษัท ฯ ควบคุมต้นทุนค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับพนักงานฝ่ายผลิตได้มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้อัตรากำไรสุทธิในไตรมาสแรกของปี 2566 อยู่ที่ 13.98 % เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 11.44 % และเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าที่อยู่ที่ 12.50 %
ในขณะที่รายได้จากการขายของบริษัท ฯ ในไตรมาสแรกของปี 2566 อยู่ที่ 239.63 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนจำนวน 4.57 ล้านบาท หรือคิดเป็นลดลง 1.87 % และลดลงจากไตรมาสก่อนหน้าจำนวน 25.98 ล้านบาท หรือคิดเป็นลดลง 9.78 % โดยมีสาเหตุหลักจากการที่บริษัทฯได้มีจัดการส่งเสริมการขายสำหรับสินค้ามาตรฐาน และการปรับลดราคาสำหรับสินค้าสั่งผลิตเพื่อให้ราคาสินค้าสอดคล้องกับราคาวัตถุดิบหลักที่ลดลง โดยเฉพาะโลหะแผ่น นอกจากนี้ราคาขายเศษเหล็กก็ลดลงตามไปด้วยทำให้บริษัทมีรายได้โดยรวมลดลง โดยรายได้ส่วนใหญ่ของบริษัทฯ ยังคงเป็นสินค้ามาตรฐานเคเจแอล ตู้ไซส์มาตรฐาน รางไวร์เวย์ และพูลบ๊อกซ์ ที่มีสัดส่วนถึง 70.78 %
“ในไตรมาสแรกของปีนี้ถึงแม้ว่าในส่วนของรายได้รวมจะปรับตัวลดลงบ้าง แต่เป็นสาเหตุจากการทำการตลาด และการปรับราคาขายลงจากต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลง ซึ่งสินค้าหลักของบริษัทฯยังเป็นที่ต้องการ และได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเราเองได้ให้ความสำคัญกับการใช้เทคโนโลยีเข้ามาสนับสนุนด้านการผลิตเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และสามารถบริหารจัดการต้นทุนและค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้ตัวเลขยอดขายอาจจะปรับลดลง แต่ความสามารถในการทำกำไรของเรายังคงปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเป็นส่วนที่เราให้ความสำคัญมาอย่างต่อเนื่อง” นายเกษมสันต์กล่าว