จับประเด็นหุ้นเด่น
รายงานพิเศษ : แห่ใช้ “ไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน” หนุนรายได้-กำไร EA โต
16 พฤษภาคม 2566
สถานการณ์อากาศที่ร้อนจัด กระตุ้นการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น หนุนการเติบโตของธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน โดยเฉพาะ บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ หรือ EA ที่สร้างผลงานเติบโตอย่างต่อเนื่อง
จากการสำรวจของศูนย์วิจัยกสิกรไทยพบว่า ในช่วงฤดูร้อนปี 2566 ค่าไฟของครัวเรือนต่อเดือนเฉลี่ยของผู้ที่อาศัยอยู่ในชุมชนเมืองเพิ่มขึ้นราว 30-50% ทำให้คาดว่าค่าไฟฟ้าของครัวเรือนเฉลี่ยในช่วงเดือนมี.ค.-พ.ค. ในปีนี้ จะอยู่ที่ราว 974-1,124 บาทต่อครัวเรือน เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดือนอื่นๆ ของปีที่คาดว่าจะอยู่ที่ราว 871 บาทต่อครัวเรือน ซึ่งเป็นไปตามค่า Ft เฉลี่ยปีนี้ที่เพิ่มขึ้นจากปีก่อน รวมไปถึงความต้องการใช้ไฟฟ้าที่กลับมาสูงสุดในรอบ 3 ปี โดยในช่วง มี.ค.-พ.ค. 66 ปริมาณการใช้ไฟเฉลี่ยของครัวเรือนอาจเพิ่มขึ้นราว 14% เมื่อเทียบกับช่วงเดือนอื่นๆ ของปี
สถานการณ์การใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น ส่งผลดีต่อรายได้ของ บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ หรือ EA ที่ทำธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน- โรงไฟฟ้าพลังงานลม - โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ โดย บล.ดาโอ ระบุว่า EA รายงานกำไรสุทธิ 1Q23 ที่ 2.3 พันล้านบาท ขยายตัว +70% YoY และ +7% QoQ (จากใน 1Q22 ที่ 1.4 พันล้านบาท และใน 4Q22 ที่ 2.2 พันล้านบาท) หนุนหลักจากธุรกิจขายไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนโดยรายได้รวมหลังหักรายการระหว่างกันจากธุรกิจ EV อยู่ที่ 8.9 พันล้านบาท (+88% YoY, -7% QoQ) จากปัจจัย
1) ยอดส่งมอบรถ EV ที่ลดลง QoQ โดยมีการส่งมอบรถ EV จำนวน 790 คันใน 1Q23 ลดลงจาก 909 คันใน 4Q22 ทำให้มีรายได้จากธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าอยู่ที่ 4.0 พันล้านบาท (ลดลง -21% QoQ)
2) ส่งผลให้รายได้จากธุรกิจแบตเตอรี่ลดลงด้วยอยู่ที่ 1.4 พันล้านบาท (ลดลง -26%)
3) ส่วนรายได้จากธุรกิจขายไฟฟ้า +34% YoY อยู่ที่ 3.5 พันล้านบาท หลักจากการปรับขึ้นของค่า ft และutilisation rate ของโรงไฟฟ้าพลังงานลม ที่สูงขึ้น +44% YoY
4) และรายได้จากธุรกิจไบโอดีเซลหดตัว -49% YoY อยู่ที่ 1.4 พันล้านบาทจากราคาขายที่ต่ำลง จากการกำหนดสูตรราคาขาย และการแข่งขันทางด้านราคาที่สูงขึ้น
บริษัทจึงคงประมาณการกำไรปี 2023E ที่ 1.0 หมื่นล้านบาท โต +36% YoY (จากปี 2022 ที่7.6 พันล้านบาท) ทั้งนี้กำไร 1Q23 คิดเป็นสัดส่วนที่ 23% ต่อประมาณการกำไร 2023E ของเรา โดยมองว่ายอดส่งมอบรถในช่วงที่เหลือของปี 2023E จะสูงขึ้น QoQ จากคำสั่งซื้อทั้งในและต่างประเทศ ส่งผลให้รายได้ของทั้งธุรกิจผลิตรถ EV และธุรกิจแบตเตอรี่สูงขึ้น นอกจากนี้บริษัทยังคงแผนการเพิ่มกำลังการผลิตแบตเตอรี่เป็น 2GWh ภายใน 2Q23E
ซึ่งราคาหุ้น underperform SET ที่ -10%/-17% ในช่วง 1 และ 3 เดือนที่ผ่านมา จากรับรู้ต่อการส่งมอบรถ EV Bus คาดว่าจะล่าช้า รวมถึงยอดคำสั่งซื้อในอนาคตและความกังวลต่อข่าวลบเกี่ยวกับคุณภาพของแบตเตอรี่
จึงให้คำแนะนำ “ซื้อ” EA ที่ราคาเป้าหมายเดิมที่ 90.00 บาท ด้วยวิธี SoTP (DCF สำหรับธุรกิจจำหน่ายไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม และธุรกิจแบตเตอรี่รวมที่ 65.70 บาท + PER สำหรับธุรกิจ EV และ Biodiesel ที่ 11.40 บาท และมูลค่าลงทุนใน BYD ที่ 1.50 บาท และ Potential power projects 2024E-30E ที่ 10.30 บาท) คิดเป็น PER ที่ 33 เท่า หรือ -0.4 below 5-yr average PER (ปัจจุบันหุ้นเทรดอยู่ที่ PER ที่ 24เท่าหรือเทียบเท่า-1SD below 5-yr average PER)
จากการสำรวจของศูนย์วิจัยกสิกรไทยพบว่า ในช่วงฤดูร้อนปี 2566 ค่าไฟของครัวเรือนต่อเดือนเฉลี่ยของผู้ที่อาศัยอยู่ในชุมชนเมืองเพิ่มขึ้นราว 30-50% ทำให้คาดว่าค่าไฟฟ้าของครัวเรือนเฉลี่ยในช่วงเดือนมี.ค.-พ.ค. ในปีนี้ จะอยู่ที่ราว 974-1,124 บาทต่อครัวเรือน เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดือนอื่นๆ ของปีที่คาดว่าจะอยู่ที่ราว 871 บาทต่อครัวเรือน ซึ่งเป็นไปตามค่า Ft เฉลี่ยปีนี้ที่เพิ่มขึ้นจากปีก่อน รวมไปถึงความต้องการใช้ไฟฟ้าที่กลับมาสูงสุดในรอบ 3 ปี โดยในช่วง มี.ค.-พ.ค. 66 ปริมาณการใช้ไฟเฉลี่ยของครัวเรือนอาจเพิ่มขึ้นราว 14% เมื่อเทียบกับช่วงเดือนอื่นๆ ของปี
สถานการณ์การใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น ส่งผลดีต่อรายได้ของ บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ หรือ EA ที่ทำธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน- โรงไฟฟ้าพลังงานลม - โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ โดย บล.ดาโอ ระบุว่า EA รายงานกำไรสุทธิ 1Q23 ที่ 2.3 พันล้านบาท ขยายตัว +70% YoY และ +7% QoQ (จากใน 1Q22 ที่ 1.4 พันล้านบาท และใน 4Q22 ที่ 2.2 พันล้านบาท) หนุนหลักจากธุรกิจขายไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนโดยรายได้รวมหลังหักรายการระหว่างกันจากธุรกิจ EV อยู่ที่ 8.9 พันล้านบาท (+88% YoY, -7% QoQ) จากปัจจัย
1) ยอดส่งมอบรถ EV ที่ลดลง QoQ โดยมีการส่งมอบรถ EV จำนวน 790 คันใน 1Q23 ลดลงจาก 909 คันใน 4Q22 ทำให้มีรายได้จากธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าอยู่ที่ 4.0 พันล้านบาท (ลดลง -21% QoQ)
2) ส่งผลให้รายได้จากธุรกิจแบตเตอรี่ลดลงด้วยอยู่ที่ 1.4 พันล้านบาท (ลดลง -26%)
3) ส่วนรายได้จากธุรกิจขายไฟฟ้า +34% YoY อยู่ที่ 3.5 พันล้านบาท หลักจากการปรับขึ้นของค่า ft และutilisation rate ของโรงไฟฟ้าพลังงานลม ที่สูงขึ้น +44% YoY
4) และรายได้จากธุรกิจไบโอดีเซลหดตัว -49% YoY อยู่ที่ 1.4 พันล้านบาทจากราคาขายที่ต่ำลง จากการกำหนดสูตรราคาขาย และการแข่งขันทางด้านราคาที่สูงขึ้น
บริษัทจึงคงประมาณการกำไรปี 2023E ที่ 1.0 หมื่นล้านบาท โต +36% YoY (จากปี 2022 ที่7.6 พันล้านบาท) ทั้งนี้กำไร 1Q23 คิดเป็นสัดส่วนที่ 23% ต่อประมาณการกำไร 2023E ของเรา โดยมองว่ายอดส่งมอบรถในช่วงที่เหลือของปี 2023E จะสูงขึ้น QoQ จากคำสั่งซื้อทั้งในและต่างประเทศ ส่งผลให้รายได้ของทั้งธุรกิจผลิตรถ EV และธุรกิจแบตเตอรี่สูงขึ้น นอกจากนี้บริษัทยังคงแผนการเพิ่มกำลังการผลิตแบตเตอรี่เป็น 2GWh ภายใน 2Q23E
ซึ่งราคาหุ้น underperform SET ที่ -10%/-17% ในช่วง 1 และ 3 เดือนที่ผ่านมา จากรับรู้ต่อการส่งมอบรถ EV Bus คาดว่าจะล่าช้า รวมถึงยอดคำสั่งซื้อในอนาคตและความกังวลต่อข่าวลบเกี่ยวกับคุณภาพของแบตเตอรี่
จึงให้คำแนะนำ “ซื้อ” EA ที่ราคาเป้าหมายเดิมที่ 90.00 บาท ด้วยวิธี SoTP (DCF สำหรับธุรกิจจำหน่ายไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม และธุรกิจแบตเตอรี่รวมที่ 65.70 บาท + PER สำหรับธุรกิจ EV และ Biodiesel ที่ 11.40 บาท และมูลค่าลงทุนใน BYD ที่ 1.50 บาท และ Potential power projects 2024E-30E ที่ 10.30 บาท) คิดเป็น PER ที่ 33 เท่า หรือ -0.4 below 5-yr average PER (ปัจจุบันหุ้นเทรดอยู่ที่ PER ที่ 24เท่าหรือเทียบเท่า-1SD below 5-yr average PER)