Mr.Data
โล่งไปอีกเปราะ... หลัง “พรรคก้าวไกล” หลังวานนี้ (18 พ.ค.) แถลงจัดตั้งรัฐบาล โดยการรวมเสียง 8 พรรคการเมืองได้ 313 เสียง ซึ่งทุกพรรคเห็นชอบสนับสนุนหัวหน้าพรรคก้าวไกลเป็นนายกฯ และจะมีการจัดทำข้อตกลงในการจัดตั้งรัฐบาลร่วมกัน (MOU) ซึ่งจะแถลงรายละเอียดอีกครั้ง 22 พ.ค.
ตลาดหุ้นไทยตอบรับทันที SET Index ทะยานบวกตอบรับข่าว โดยปรับตัวสูงสุดที่ 1,541.06 จุด เพิ่มขึ้น 18.32 จุด ก่อนปิดตลาดที่ 1,526.69 +3.95 จุด (+0.26%) มูลค่าการซื้อขาย 54,614.60 ล้านบาท
หลังจากที่ก่อนหน้า ตลาดฯปรับตัวลดลงจากความกังวลทางการเมืองหลังเลือกตั้ง โดยโฟกัสไปที่การจัดตั้งรัฐบาลของพรรคก้าวไกล และผลกระทบจากนโยบายหาเสียงของพรรคก้าวไกล ซึ่งทำให้ SET Index ปรับตัวลดลงเกือบ 3% จาก 1,570 จุด
นี่เป็นเพียงแค่ฉากเริ่มต้นเท่านั้น...เพราะอุปสรรคขวากหนามของการจัดตั้งรัฐบาล ยังมีอีกหลายปัจจัย ที่ต้องจับตามมองในช่วง 60 วัน หลังจากนี้ จะจัดตั้งรัฐบาลสำเร็จหรือไม่ และนายกฯคนที่ 30 ของประเทศไทย จะเป็น “พิธาลิ้มเจริญรัตน์” หัวหน้าพรรคก้าวไกลหรือไม่ เพราะยังมีปมร้อนการถือหุ้นสื่อไอทีวี ที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) อาจทำให้การก้าวสู่การเป็นนายกฯ ของ “พิธา” สะดุด!
บล.ทิสโก้ มองว่า จากผลการเลือกตั้ง ล่าสุด พรรคก้าวไกลชนะการเลือกตั้ง กวาด ส.ส. 152 ที่นั่ง จากจำนวน ส.ส. ทั้งหมด 500 ที่นั่ง ตามด้วยพรรคเพื่อไทยที่ได้ ส.ส. 141 ที่นั่ง ด้วยผลการเลือกตั้งดังกล่าว เชื่อว่าพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทยจะเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล
“เราคาดว่านโยบายใหม่ จะมีผลกระทบต่อหุ้นกลุ่มค้าปลีก (กลุ่มสินค้าอุปโภคและบริโภค) และธุรกิจธนาคารและที่ไม่ใช่ธนาคาร รวมทั้งธุรกิจพลังงาน”
โดยคาดว่ารัฐบาลใหม่จะเริ่มการแจกเงินตามนโยบายที่เคยหาเสียงไว้ เพื่อกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ เป็นผลดีต่อหุ้นกลุ่มค้าปลีก หลังจากนั้นรัฐบาลใหม่คาดว่าจะลดค่าครองชีพ โดยเฉพาะราคาพลังงาน ซึ่งอาจจะกระทบบรรยากาศการลงทุนหุ้นกลุ่มพลังงาน
“แต่เราคาดว่าผลกระทบต่อผลการดำเนินงานจำกัด และในลำดับต่อไปน่าจะดำเนินการเพื่อลดอำนาจการผูกขาดในบางธุรกิจ ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องติดตามต่อไป เนื่องจากยังไม่แน่ชัดว่าจะเริ่มดำเนินการอย่างไรและเมื่อใด”
โดยบล.ทิสโก้ แนะนำ “แนะเพิ่มน้ำหนัก” หุ้นกลุ่มค้าปลีก อย่าง CPALL ( เป้าพื้นฐาน 76 บาท) และ MAKRO (เป้าพื้นฐาน 43 บาท) เป็นหุ้นเด่น OSP ( เป้าพื้นฐาน 26.5 บาท ) ICHI ( เป้าพื้นฐาน 14.5 บาท ) SNNP (เป้าพื้นฐาน 30 บาท )
นอกจากนี้ ยังชอบหุ้น MTC ( 40 บาท ) และ TIDLOR ( 28 บาท ) จากประเด็นคุณภาพสินทรัพย์ที่มีแนวโน้มดีขึ้น
สำหรับกลุ่มพลังงาน บล.ทิสโก้ “แนะนำซื้อ” ช่วงราคาหุ้นอ่อนตัวจากความกังวลการปรับลดราคาพลังงานและการทำเพื่อประโยชน์สาธารณะ ซึ่งน่าจะกดดันราคาหุ้นกลุ่มนี้ลง แต่เรามองผลกระทบต่อผลการดำเนินงานน่าจะจำกัด มองเป็นจังหวะลงทุน แนะนำ PTT ( เป้าพื้นฐาน 39 บาท ) OR ( เป้าพื้นฐาน 25 บาท) BGRIM ( เป้าพื้นฐาน 47 บาท)
ขณะที่ บล.กรุงศรี พัฒนสิน มองว่า มีโอกาสสูงที่จะเห็นการเปลี่ยนขั้วรัฐบาลใหม่ ซึ่งมีพรรคก้าวไกลจะเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งหากยึดนโยบายหลักๆ ตามที่หาเสียงไว้ก่อนหน้า คาดจะเกิดขึ้นในช่วง 4 ปีข้างหนักหลักๆ คือ นโยบายค่าแรงขั้นต่ำเป็น 450 บาท, ประกันสังคมถ้วนหน้า , ลดค่าไฟทันที 70 สตางค์ต่อหน่วย เป็นต้น
...โดยฝ่ายวิจัยได้พิจารณาแต่ละนโยบายจะมีผลดีและผลเสียต่อหุ้นกลุ่มไหนบ้าง?
นโยบายการปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ จะเป็นปัจจัยลบต่อกลุ่ม โรงแรม, รับเหมา, ร้านอาหารและอสังหาริมทรัพย์ ขณะที่กลุ่มเช่าซื้อ, เครื่องดื่มชูกำลัง, กลุ่มบริหารหนี้ และ Digital Tech Consult ได้รับอานิสงส์บวก
นโยบายสวัสดิการสังคมถ้วนหน้าคาดจะเป็นบวกต่อ กลุ่มเช่าซื้อ เครื่องดื่มชูกำลัง, ค้าปลีกและโรงพยาบาล
นโยบายปฏิรูประบบราชการปรับปรุงกฎหมายแข่งขันทางการค้า ทลายทุนผูกขาด ฝ่ายวิจัยประเมินจะเพิ่มประสิทธิภาพของระบบลดภาระรายจ่ายประจำของประเทศ คาดจะเป็นบวกต่อหุ้นในกลุ่ม Digital Tech Consult ในทางตรงข้ามจะสร้างจิตวิทยาลบ ต่ออุตสาหกรรมที่มีผู้ประกอบการน้อยราย
นโยบายลดค่าไฟทันที 70 สตางค์ต่อหน่วยและการปรับโครงสร้างการผลิตไฟฟ้าในประเทศให้มีประสิทธิภาพเพิ่มสูงขึ้น ประเมินจะส่งผลกระทบลบต่อหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าต่อแนวโน้มที่ตลาดประเมินไว้เดิมในระยะกลางถึงยาว
นโยบายปักธงไทยในอุตสาหกรรมชิป ฝ่ายวิจัยประเมินจะเปิด GDP Upside และบวกต่อหุ้นในกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม และชิ้นส่วน
นโยายพลังงานสะอาด เช่น กำหนดเพดานปล่อยก๊าซเรือนกระจกรายอุตสาหกรรม การปรับรถเมล์ไฟฟ้าทุกจังหวัด ฝ่ายวิจัยประเมินเป็นบวกต่อกลุ่ม EV Ecosystem หรือกลุ่มที่มีการเตรียมพร้อมในเรื่องคาร์บอนเครดิต
ฝ่ายวิจัยกรุงศรี พัฒนสิน มองว่า หากนโยบายต่างๆ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้จริง เชื่อว่าจะนำไปสู่ความเชื่อมั่นตลาดเพิ่ม และช่วยต่อยอดฐานกำไรตลาดและช่วยหนุนกำไรของบริษัทจดทะเบียน โดยยังคงเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยปีนี้ที่ 1,768 จุด
สำหรับกลยุทธ์การลงทุน มองชุดหุ้น “น่าเก็งกำไร” อิงเกณฑ์สถิติผลตอบแทนดี ความน่าจะเป็นสูง ปัจจุบันมีพื้นฐานน่าสนใจ ผสานกลุ่มที่มีแนวโน้มได้ประโยชน์จากนโยบายแกนนำพรรคก้าวไกลที่เน้นไปในเรื่องรัฐสวัสดิการ (เพิ่มกำลังซื้อประชาชน) การสนับสนุนธุรกิจขนาดกลาง-เล็ก และการปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ โดยแนะนำ BBL, ADVANC, CRC, SAWAD, GLOBAL, OSP, MC, TOA, ICHI, AEONTS, KBANK
โล่งไปอีกเปราะ... หลัง “พรรคก้าวไกล” หลังวานนี้ (18 พ.ค.) แถลงจัดตั้งรัฐบาล โดยการรวมเสียง 8 พรรคการเมืองได้ 313 เสียง ซึ่งทุกพรรคเห็นชอบสนับสนุนหัวหน้าพรรคก้าวไกลเป็นนายกฯ และจะมีการจัดทำข้อตกลงในการจัดตั้งรัฐบาลร่วมกัน (MOU) ซึ่งจะแถลงรายละเอียดอีกครั้ง 22 พ.ค.
ตลาดหุ้นไทยตอบรับทันที SET Index ทะยานบวกตอบรับข่าว โดยปรับตัวสูงสุดที่ 1,541.06 จุด เพิ่มขึ้น 18.32 จุด ก่อนปิดตลาดที่ 1,526.69 +3.95 จุด (+0.26%) มูลค่าการซื้อขาย 54,614.60 ล้านบาท
หลังจากที่ก่อนหน้า ตลาดฯปรับตัวลดลงจากความกังวลทางการเมืองหลังเลือกตั้ง โดยโฟกัสไปที่การจัดตั้งรัฐบาลของพรรคก้าวไกล และผลกระทบจากนโยบายหาเสียงของพรรคก้าวไกล ซึ่งทำให้ SET Index ปรับตัวลดลงเกือบ 3% จาก 1,570 จุด
นี่เป็นเพียงแค่ฉากเริ่มต้นเท่านั้น...เพราะอุปสรรคขวากหนามของการจัดตั้งรัฐบาล ยังมีอีกหลายปัจจัย ที่ต้องจับตามมองในช่วง 60 วัน หลังจากนี้ จะจัดตั้งรัฐบาลสำเร็จหรือไม่ และนายกฯคนที่ 30 ของประเทศไทย จะเป็น “พิธาลิ้มเจริญรัตน์” หัวหน้าพรรคก้าวไกลหรือไม่ เพราะยังมีปมร้อนการถือหุ้นสื่อไอทีวี ที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) อาจทำให้การก้าวสู่การเป็นนายกฯ ของ “พิธา” สะดุด!
บล.ทิสโก้ มองว่า จากผลการเลือกตั้ง ล่าสุด พรรคก้าวไกลชนะการเลือกตั้ง กวาด ส.ส. 152 ที่นั่ง จากจำนวน ส.ส. ทั้งหมด 500 ที่นั่ง ตามด้วยพรรคเพื่อไทยที่ได้ ส.ส. 141 ที่นั่ง ด้วยผลการเลือกตั้งดังกล่าว เชื่อว่าพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทยจะเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล
“เราคาดว่านโยบายใหม่ จะมีผลกระทบต่อหุ้นกลุ่มค้าปลีก (กลุ่มสินค้าอุปโภคและบริโภค) และธุรกิจธนาคารและที่ไม่ใช่ธนาคาร รวมทั้งธุรกิจพลังงาน”
โดยคาดว่ารัฐบาลใหม่จะเริ่มการแจกเงินตามนโยบายที่เคยหาเสียงไว้ เพื่อกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ เป็นผลดีต่อหุ้นกลุ่มค้าปลีก หลังจากนั้นรัฐบาลใหม่คาดว่าจะลดค่าครองชีพ โดยเฉพาะราคาพลังงาน ซึ่งอาจจะกระทบบรรยากาศการลงทุนหุ้นกลุ่มพลังงาน
“แต่เราคาดว่าผลกระทบต่อผลการดำเนินงานจำกัด และในลำดับต่อไปน่าจะดำเนินการเพื่อลดอำนาจการผูกขาดในบางธุรกิจ ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องติดตามต่อไป เนื่องจากยังไม่แน่ชัดว่าจะเริ่มดำเนินการอย่างไรและเมื่อใด”
โดยบล.ทิสโก้ แนะนำ “แนะเพิ่มน้ำหนัก” หุ้นกลุ่มค้าปลีก อย่าง CPALL ( เป้าพื้นฐาน 76 บาท) และ MAKRO (เป้าพื้นฐาน 43 บาท) เป็นหุ้นเด่น OSP ( เป้าพื้นฐาน 26.5 บาท ) ICHI ( เป้าพื้นฐาน 14.5 บาท ) SNNP (เป้าพื้นฐาน 30 บาท )
นอกจากนี้ ยังชอบหุ้น MTC ( 40 บาท ) และ TIDLOR ( 28 บาท ) จากประเด็นคุณภาพสินทรัพย์ที่มีแนวโน้มดีขึ้น
สำหรับกลุ่มพลังงาน บล.ทิสโก้ “แนะนำซื้อ” ช่วงราคาหุ้นอ่อนตัวจากความกังวลการปรับลดราคาพลังงานและการทำเพื่อประโยชน์สาธารณะ ซึ่งน่าจะกดดันราคาหุ้นกลุ่มนี้ลง แต่เรามองผลกระทบต่อผลการดำเนินงานน่าจะจำกัด มองเป็นจังหวะลงทุน แนะนำ PTT ( เป้าพื้นฐาน 39 บาท ) OR ( เป้าพื้นฐาน 25 บาท) BGRIM ( เป้าพื้นฐาน 47 บาท)
ขณะที่ บล.กรุงศรี พัฒนสิน มองว่า มีโอกาสสูงที่จะเห็นการเปลี่ยนขั้วรัฐบาลใหม่ ซึ่งมีพรรคก้าวไกลจะเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งหากยึดนโยบายหลักๆ ตามที่หาเสียงไว้ก่อนหน้า คาดจะเกิดขึ้นในช่วง 4 ปีข้างหนักหลักๆ คือ นโยบายค่าแรงขั้นต่ำเป็น 450 บาท, ประกันสังคมถ้วนหน้า , ลดค่าไฟทันที 70 สตางค์ต่อหน่วย เป็นต้น
...โดยฝ่ายวิจัยได้พิจารณาแต่ละนโยบายจะมีผลดีและผลเสียต่อหุ้นกลุ่มไหนบ้าง?
นโยบายการปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ จะเป็นปัจจัยลบต่อกลุ่ม โรงแรม, รับเหมา, ร้านอาหารและอสังหาริมทรัพย์ ขณะที่กลุ่มเช่าซื้อ, เครื่องดื่มชูกำลัง, กลุ่มบริหารหนี้ และ Digital Tech Consult ได้รับอานิสงส์บวก
นโยบายสวัสดิการสังคมถ้วนหน้าคาดจะเป็นบวกต่อ กลุ่มเช่าซื้อ เครื่องดื่มชูกำลัง, ค้าปลีกและโรงพยาบาล
นโยบายปฏิรูประบบราชการปรับปรุงกฎหมายแข่งขันทางการค้า ทลายทุนผูกขาด ฝ่ายวิจัยประเมินจะเพิ่มประสิทธิภาพของระบบลดภาระรายจ่ายประจำของประเทศ คาดจะเป็นบวกต่อหุ้นในกลุ่ม Digital Tech Consult ในทางตรงข้ามจะสร้างจิตวิทยาลบ ต่ออุตสาหกรรมที่มีผู้ประกอบการน้อยราย
นโยบายลดค่าไฟทันที 70 สตางค์ต่อหน่วยและการปรับโครงสร้างการผลิตไฟฟ้าในประเทศให้มีประสิทธิภาพเพิ่มสูงขึ้น ประเมินจะส่งผลกระทบลบต่อหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าต่อแนวโน้มที่ตลาดประเมินไว้เดิมในระยะกลางถึงยาว
นโยบายปักธงไทยในอุตสาหกรรมชิป ฝ่ายวิจัยประเมินจะเปิด GDP Upside และบวกต่อหุ้นในกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม และชิ้นส่วน
นโยายพลังงานสะอาด เช่น กำหนดเพดานปล่อยก๊าซเรือนกระจกรายอุตสาหกรรม การปรับรถเมล์ไฟฟ้าทุกจังหวัด ฝ่ายวิจัยประเมินเป็นบวกต่อกลุ่ม EV Ecosystem หรือกลุ่มที่มีการเตรียมพร้อมในเรื่องคาร์บอนเครดิต
ฝ่ายวิจัยกรุงศรี พัฒนสิน มองว่า หากนโยบายต่างๆ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้จริง เชื่อว่าจะนำไปสู่ความเชื่อมั่นตลาดเพิ่ม และช่วยต่อยอดฐานกำไรตลาดและช่วยหนุนกำไรของบริษัทจดทะเบียน โดยยังคงเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยปีนี้ที่ 1,768 จุด
สำหรับกลยุทธ์การลงทุน มองชุดหุ้น “น่าเก็งกำไร” อิงเกณฑ์สถิติผลตอบแทนดี ความน่าจะเป็นสูง ปัจจุบันมีพื้นฐานน่าสนใจ ผสานกลุ่มที่มีแนวโน้มได้ประโยชน์จากนโยบายแกนนำพรรคก้าวไกลที่เน้นไปในเรื่องรัฐสวัสดิการ (เพิ่มกำลังซื้อประชาชน) การสนับสนุนธุรกิจขนาดกลาง-เล็ก และการปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ โดยแนะนำ BBL, ADVANC, CRC, SAWAD, GLOBAL, OSP, MC, TOA, ICHI, AEONTS, KBANK