ปัจจุบันการผลิตสินค้าจะต้องเน้นเรื่องของการไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม การลดภาวะโลกร้อน ซึ่งบริษัท ไทยอีสเทิร์น กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TEGH ในฐานะผู้นำในอุตสาหกรรมยางพาราและน้ำมันปาล์ม จะมีกลยุทธ์รับมือมาตรการลดภาวะโลกร้อนของประเทศต่างๆ โดยเฉพาะประเทศในยุโรปอย่างไร เราไปติดตามมุมมองนี้กับ นางสาวสินีนุช โกกนุทาภรณ์ กรรมการผู้จัดการ TEGH ที่เปิดเผยในงาน พบนักลงทุนวันที่ 19 พ.ค.2566
การรักษาความเป็นผู้นำ Sustainable Material Producer
ไตรมาสแรกที่ผ่านมา บริษัทได้ขึ้นทะเบียนเพิ่มเติมเรื่อง มาตรฐาน RSPO ของน้ำมัน CPKO ซึ่งได้รับการตรวจสอบแล้ว โดยใบอนุญาตจะได้รับในไตรมาส 2 ตามแผน จะทำให้การขายน้ำมันของบริษัทได้ราคาดีขึ้น 1.50 บาท/กก. และบริษัทยังได้เปิดตัวนวัตกรรม Traceability Program เพื่อรองรับมาตรการของอียู เกี่ยวกับ Deforestation ที่กำหนดให้สินค้าที่จะส่งเข้าอียู ต้องชี้แจงที่มาของวัตถุดิบ ไปถึงสวนหรือแหล่งที่ผลิตกำเนิดสินค้า
และอีกหนึ่งแนวทางที่บริษัทได้ทำแล้ว คือการขึ้นทะเบียนเพื่อขอ Carbon Credit กับ อบก. โดยยื่นโครงการนี้ประมาณ 56,000 ตันคาร์บอนเครดิต และการขอ Certify I-REC ขึ้นทะเบียนแล้วอยู่ที่ 3,500 REC ซึ่งแนวทางที่ทำทั้งหมด เพื่อลดคาร์บอนและเตรียมความพร้อมของบริษัทในการเข้าสู่การเป็นบริษัท Carbon Neutral ในปีหน้า
ภาวะเอลนีโญที่เกิดขึ้นจะกระทบบริษัทหรือไม่
บริษัทมองว่าเป็นภาวะตามปกติ ซึ่งสิ่งที่บริษัททำคือ พยายามขยายแหล่งที่บริษัทซื้อสินค้าวัตถุดิบ และการเตรียมความพร้อมในเรื่องวัสดุที่ใช้ รวมถึงการเข้าไปช่วยเกษตรกรในการปรับปรุงคุณภาพดิน รวมทั้งการนำสิ่งที่บริษัทมี เพื่อช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับดิน เพื่อให้เกษตรกรก้าวข้ามภาวะภัยแล้งนี้ไปได้ แต่เชื่อว่าในประเทศไทยยังมีแหล่งน้ำ มีแหล่งที่รองรับน้ำฝน เพิ่มความชุ่มชื้นได้ ซึ่งเชื่อว่าสภาพอากาศในปัจจุบันยังอยู่ในภาวะที่เหมาะสมกับการปลูกยางพาราและปาล์มน้ำมัน
แนวทางรับมือ Deforestation Free และ มาตรการ CBAM
Deforestation Free เป็นมาตรฐานตัวใหม่ของยุโรปที่ประกาศเมื่อต้นปี 2566 และเริ่มมีผลบังคับใช้ในไตรมาสแรก ปี 2567 ซึ่งกำหนดให้สินค้าเกษตร ทั้งปาล์มน้ำมัน ยางพาราและสินค้าเกษตรอื่น ต้องแสดงให้ได้ว่า เป็นสินค้าที่ไม่ได้มาจากการตัดไม้ทำลายป่า ซึ่งบริษัทได้เตรียมความพร้อมแล้ว โดยสิ่งที่สำคัญที่จะต้องทำเพื่อรองรับกับกฎหมายตัวนี้คือ การทำแผนที่(Mapping) เพื่อแสดงให้เห็นว่า สินค้าที่ผลิตได้ไม่ได้มาจากพื้นที่ป่าสงวน โดยบริษัทได้ทำ Mapping ไว้เรียบร้อยแล้ว
ส่วนเรื่องของ CBAM ปัจจุบันประกาศมามี สินค้า 5 ชนิด ซึ่งยังไม่ได้รวมสินค้าในกลุ่มยานยนต์ หรือ sector Automotive แต่เราก็เชื่อว่าในอนาคต จะมีการขยายกลุ่มสินค้ามากขึ้น และอาจครอบคลุมกลุ่มยานยนต์ ดังนั้นสิ่งที่บริษัททำคือในเรื่องของ Carbon ทั้ง Carbon footprint organization หรือ Carbon footprint product รวมทั้งการปรับมาใช้พลังงานสะอาด ลดการใช้ฟอสซิล พร้อมกับการ เตรียมความพร้อมให้บริษัทเป็น Carbon Neutrality
แนวทางการขยายธุรกิจของบริษัทในอนาคต
เราได้มีการเจรจาและทำธุรกิจเพิ่มเติมกับพันธมิตรของบริษัท ซึ่งได้แก่ บริษัท ซูมิโตโม รับเบอร์ อินดัสตรีส์ จำกัด ประเทศญี่ปุ่น และ Sime Darby Oils Co.,Ltd. ประเทศมาเลเซีย โดยธุรกิจที่จะไปจะเป็นการทำธุรกิจเพื่อเพิ่มมูลค่า กับสินค้าที่มีอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งจะทำให้เพิ่มประสิทธิภาพของเครื่องจักรและลดต้นทุนของบริษัทลงและเพิ่มรายได้
ส่วนธุรกิจอื่นที่จะทำจะเน้นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจที่เรามี ซึ่งจุดเด่นของบริษัทคือ การเป็น Supply Chain Management บริษัทจึงจะใช้จุดเด่นนี้ในการเพิ่มมูลค่าสินค้าของบริษัท และพาลูกค้าที่สนใจในเรื่องของความยั่งยืน ลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม และจะเติบโตไปพร้อมกับลูกค้าที่เรามี เพราะลูกค้าของเราเป็น ลูกค้า World Class
บริษัทได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงหรือไม่
บริษัทหรือสินค้าของเราไม่ได้รับผลกระทบเนื่องจากเราเน้นกลุ่มลูกค้าระดับพรีเมียม และเราเป็นสินค้าที่ลูกค้าต้องการเอาไปใช้เพื่อเป็น Sustainable Material คือ เมื่อลูกค้านำสินค้าของเราไปใช้แล้ว สามารถระบุในเรื่องการลด Carbon emission ได้ หรือ สามารถนำไปใช้ในเรื่องของมาตรการ EU ดังนั้นสินค้าของเราเป็นสินค้าที่นำไปเสริมภาพลักษณ์ที่ลูกค้านำไปใช้ ในการผลิตสินค้าของตนเอง ทำให้บริษัทไม่ได้รับผลกระทบ และยังมีการร่วมมือกับลูกค้าในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆที่จะไปสอดรับกับมาตรการ CBAM และมาตรการอื่นๆที่จะเกิดขึ้นอีกในอนาคต
ดังนั้นสิ่งที่เราทำ จึงเป็นการเตรียมบริษัทให้ไปสอดรับกับมาตรการเหล่านั้น และขณะเดียวกันก็เตรียมเกษตรกรให้มีความพร้อมรับกับสิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งโครงการที่เราจะขยาย จึงเป็นโครงการที่มีลูกค้ารองรับอยู่แล้ว และบริษัทยังมีการขยายลูกค้ากลุ่มใหม่ๆที่สนใจสินค้าของเรา และในอนาคตยังต้องพัฒนาไปถึงการร่วมมือกับลูกค้าในการผลิตสินค้าใหม่ๆที่จะสอดรับกับมาตรการหรือกฎเกณฑ์ใหม่ๆ โดยเราจะใช้สถานการณ์เหล่านี้พลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส โดยการสร้างจุดแข็งเพื่อทำให้ลูกค้าสนใจในสินค้าเรามากขึ้น
คิดว่าหุ้น TEGH เป็นหุ้นประเภทใด
จริงๆหุ้น TEGH เราเป็นบริษัทที่มีแผนการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และมองว่าทุกการเติบโตของเรา มีความยั่งยืนภายใต้ ทุกฝ่ายที่ได้ประโยชน์ ทั้งผู้ถือหุ้น ลูกค้า ชุมชน และพนักงาน และเรายังมีนโยบายการจ่ายปันผลอย่างสม่ำเสมอไม่ต่ำกว่า 40% ดังนั้นการกำหนดนิยามหุ้นของบริษัท จึงขึ้นการพิจารณาของนักลงทุน
การรักษาความเป็นผู้นำ Sustainable Material Producer
ไตรมาสแรกที่ผ่านมา บริษัทได้ขึ้นทะเบียนเพิ่มเติมเรื่อง มาตรฐาน RSPO ของน้ำมัน CPKO ซึ่งได้รับการตรวจสอบแล้ว โดยใบอนุญาตจะได้รับในไตรมาส 2 ตามแผน จะทำให้การขายน้ำมันของบริษัทได้ราคาดีขึ้น 1.50 บาท/กก. และบริษัทยังได้เปิดตัวนวัตกรรม Traceability Program เพื่อรองรับมาตรการของอียู เกี่ยวกับ Deforestation ที่กำหนดให้สินค้าที่จะส่งเข้าอียู ต้องชี้แจงที่มาของวัตถุดิบ ไปถึงสวนหรือแหล่งที่ผลิตกำเนิดสินค้า
และอีกหนึ่งแนวทางที่บริษัทได้ทำแล้ว คือการขึ้นทะเบียนเพื่อขอ Carbon Credit กับ อบก. โดยยื่นโครงการนี้ประมาณ 56,000 ตันคาร์บอนเครดิต และการขอ Certify I-REC ขึ้นทะเบียนแล้วอยู่ที่ 3,500 REC ซึ่งแนวทางที่ทำทั้งหมด เพื่อลดคาร์บอนและเตรียมความพร้อมของบริษัทในการเข้าสู่การเป็นบริษัท Carbon Neutral ในปีหน้า
ภาวะเอลนีโญที่เกิดขึ้นจะกระทบบริษัทหรือไม่
บริษัทมองว่าเป็นภาวะตามปกติ ซึ่งสิ่งที่บริษัททำคือ พยายามขยายแหล่งที่บริษัทซื้อสินค้าวัตถุดิบ และการเตรียมความพร้อมในเรื่องวัสดุที่ใช้ รวมถึงการเข้าไปช่วยเกษตรกรในการปรับปรุงคุณภาพดิน รวมทั้งการนำสิ่งที่บริษัทมี เพื่อช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับดิน เพื่อให้เกษตรกรก้าวข้ามภาวะภัยแล้งนี้ไปได้ แต่เชื่อว่าในประเทศไทยยังมีแหล่งน้ำ มีแหล่งที่รองรับน้ำฝน เพิ่มความชุ่มชื้นได้ ซึ่งเชื่อว่าสภาพอากาศในปัจจุบันยังอยู่ในภาวะที่เหมาะสมกับการปลูกยางพาราและปาล์มน้ำมัน
แนวทางรับมือ Deforestation Free และ มาตรการ CBAM
Deforestation Free เป็นมาตรฐานตัวใหม่ของยุโรปที่ประกาศเมื่อต้นปี 2566 และเริ่มมีผลบังคับใช้ในไตรมาสแรก ปี 2567 ซึ่งกำหนดให้สินค้าเกษตร ทั้งปาล์มน้ำมัน ยางพาราและสินค้าเกษตรอื่น ต้องแสดงให้ได้ว่า เป็นสินค้าที่ไม่ได้มาจากการตัดไม้ทำลายป่า ซึ่งบริษัทได้เตรียมความพร้อมแล้ว โดยสิ่งที่สำคัญที่จะต้องทำเพื่อรองรับกับกฎหมายตัวนี้คือ การทำแผนที่(Mapping) เพื่อแสดงให้เห็นว่า สินค้าที่ผลิตได้ไม่ได้มาจากพื้นที่ป่าสงวน โดยบริษัทได้ทำ Mapping ไว้เรียบร้อยแล้ว
ส่วนเรื่องของ CBAM ปัจจุบันประกาศมามี สินค้า 5 ชนิด ซึ่งยังไม่ได้รวมสินค้าในกลุ่มยานยนต์ หรือ sector Automotive แต่เราก็เชื่อว่าในอนาคต จะมีการขยายกลุ่มสินค้ามากขึ้น และอาจครอบคลุมกลุ่มยานยนต์ ดังนั้นสิ่งที่บริษัททำคือในเรื่องของ Carbon ทั้ง Carbon footprint organization หรือ Carbon footprint product รวมทั้งการปรับมาใช้พลังงานสะอาด ลดการใช้ฟอสซิล พร้อมกับการ เตรียมความพร้อมให้บริษัทเป็น Carbon Neutrality
แนวทางการขยายธุรกิจของบริษัทในอนาคต
เราได้มีการเจรจาและทำธุรกิจเพิ่มเติมกับพันธมิตรของบริษัท ซึ่งได้แก่ บริษัท ซูมิโตโม รับเบอร์ อินดัสตรีส์ จำกัด ประเทศญี่ปุ่น และ Sime Darby Oils Co.,Ltd. ประเทศมาเลเซีย โดยธุรกิจที่จะไปจะเป็นการทำธุรกิจเพื่อเพิ่มมูลค่า กับสินค้าที่มีอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งจะทำให้เพิ่มประสิทธิภาพของเครื่องจักรและลดต้นทุนของบริษัทลงและเพิ่มรายได้
ส่วนธุรกิจอื่นที่จะทำจะเน้นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจที่เรามี ซึ่งจุดเด่นของบริษัทคือ การเป็น Supply Chain Management บริษัทจึงจะใช้จุดเด่นนี้ในการเพิ่มมูลค่าสินค้าของบริษัท และพาลูกค้าที่สนใจในเรื่องของความยั่งยืน ลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม และจะเติบโตไปพร้อมกับลูกค้าที่เรามี เพราะลูกค้าของเราเป็น ลูกค้า World Class
บริษัทได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงหรือไม่
บริษัทหรือสินค้าของเราไม่ได้รับผลกระทบเนื่องจากเราเน้นกลุ่มลูกค้าระดับพรีเมียม และเราเป็นสินค้าที่ลูกค้าต้องการเอาไปใช้เพื่อเป็น Sustainable Material คือ เมื่อลูกค้านำสินค้าของเราไปใช้แล้ว สามารถระบุในเรื่องการลด Carbon emission ได้ หรือ สามารถนำไปใช้ในเรื่องของมาตรการ EU ดังนั้นสินค้าของเราเป็นสินค้าที่นำไปเสริมภาพลักษณ์ที่ลูกค้านำไปใช้ ในการผลิตสินค้าของตนเอง ทำให้บริษัทไม่ได้รับผลกระทบ และยังมีการร่วมมือกับลูกค้าในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆที่จะไปสอดรับกับมาตรการ CBAM และมาตรการอื่นๆที่จะเกิดขึ้นอีกในอนาคต
ดังนั้นสิ่งที่เราทำ จึงเป็นการเตรียมบริษัทให้ไปสอดรับกับมาตรการเหล่านั้น และขณะเดียวกันก็เตรียมเกษตรกรให้มีความพร้อมรับกับสิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งโครงการที่เราจะขยาย จึงเป็นโครงการที่มีลูกค้ารองรับอยู่แล้ว และบริษัทยังมีการขยายลูกค้ากลุ่มใหม่ๆที่สนใจสินค้าของเรา และในอนาคตยังต้องพัฒนาไปถึงการร่วมมือกับลูกค้าในการผลิตสินค้าใหม่ๆที่จะสอดรับกับมาตรการหรือกฎเกณฑ์ใหม่ๆ โดยเราจะใช้สถานการณ์เหล่านี้พลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส โดยการสร้างจุดแข็งเพื่อทำให้ลูกค้าสนใจในสินค้าเรามากขึ้น
คิดว่าหุ้น TEGH เป็นหุ้นประเภทใด
จริงๆหุ้น TEGH เราเป็นบริษัทที่มีแผนการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และมองว่าทุกการเติบโตของเรา มีความยั่งยืนภายใต้ ทุกฝ่ายที่ได้ประโยชน์ ทั้งผู้ถือหุ้น ลูกค้า ชุมชน และพนักงาน และเรายังมีนโยบายการจ่ายปันผลอย่างสม่ำเสมอไม่ต่ำกว่า 40% ดังนั้นการกำหนดนิยามหุ้นของบริษัท จึงขึ้นการพิจารณาของนักลงทุน