บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) (“โอสถสภา”) ขอเรียนให้ทราบว่า เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2566 โอสถสภาได้ ลงนามในตราสารการโอนหุ้นเพื่อจำหน่ายหุ้นของบริษัท ยูนิชาร์ม (ประเทศไทย) จ ากัด (“ยูนิชาร์ม”) ที่โอสถสภาถืออยู่ทั้งหมด จำนวน 420,500 หุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 5.85 ของจำนวนหุ้นทั้งหมดในยูนิชาร์ม ให้แก่บริษัท ยูนิชาร์ม คอร์ปอเรชั่น จ ากัด (“ผู้ซื้อ”) เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 3,000 ล้านบาท ซึ่งประเมินราคาโดยที่ปรึกษาทางการเงินแล้ว
การจำหน่ายหุ้นของยูนิชาร์มดังกล่าวเป็นไปตามยุทธศาสตร์การบริหารจัดการการลงทุนของกลุ่มโอสถสภา ที่มุ่งเน้น การขยายกลุ่มธุรกิจหลัก (core businesses) ทั้งในกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่ม กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล ตลอดจนกลุ่มธุรกิจ ที่สามารถใช้ประโยชน์จากความได้เปรียบทางการแข่งขัน (competitive advantage) ของโอสถสภาจากธุรกิจหลักที่มีสัดส่วนการ ลงทุนอย่างมีนัยสำคัญ เพื่อให้กลุ่มโอสถสภาสามารถจัดสรรทรัพยากรของบริษัทให้มุ้งเน้นการเติบโตของกลุ่มธุรกิจหลักได้อย่างมี ประสิทธิภาพยิ่งขึ้น นอกจากนี้ การจำหน่ายหุ้นของยูนิชาร์มในครั้งนี้ ส่งผลให้โอสถสภาได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนอย่าง เหมาะสมและคุ้มค่า ซึ่งสามารถสร้างผลตอบแทนให้แก่โอสถสภาและผู้ถือหุ้นได้อย่างยั่งยืนต่อไป
อนึ่ง การที่โอสถสภาจำหน่ายหุ้นยูนิชาร์มดังกล่าว ส่งผลให้โอสถสภายุติการลงทุนในยูนิชาร์ม ซึ่งเข้าข่ายเป็นรายการ จำหน่ายไปซึ่งทรัพย์สิน ตามประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุน ที่ ทจ. 20/2551 เรื่อง หลักเกณฑ์ในการทำรายการที่มีนัยสำคัญ ที่เข้าข่ายเป็นการได้มาหรือจำหน่ายไปซึ่งทรัพย์สิน และประกาศคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เรื่อง การเปิดเผย ข้อมูลและการปฏิบัติการของบริษัทจดทะเบียนในการได้มาหรือจำหน่ายไปซึ่งสินทรัพย์ พ.ศ. 2547 (รวมทั้งที่ได้มีการแก้ไข เพิ่มเติม) (รวมเรียกว่า “ประกาศรายการได้มาหรือจำหนายไปซึ่งสินทรัพย์”) โดยมีขนาดรายการสูงสุดเท่ากับร้อยละ 11.24 ตามเกณฑ์มูลค่ารวมของสิ่งตอบแทน อ้างอิงจากงบการเงินระหว่างกาลงวด 3 เดือนฉบับสอบทานของโอสถสภา ณ วันที่ 31 มีนาคม 2566 และหากรวมขนาดรายการจำหน่ายซึ่งสินทรัพย์ที่เกิดขึ้น 180 วันย้อนหลังก่อนวันเข้าทำรายการ ขนาดของรายการ จำหน่ายไปซึ่งสินทรัพย์ คิดเป็นร้อยละ 11.25 จึงไม่เข้าข่ายเป็นรายการได้มาจำหน่ายไปซึ่งสินทรัพย์ที่มีนัยสำคัญตามหลักเกณฑ์ ของประกาศเรื่องรายการได้มาหรือจำหน่ายไปซึ่งสินทรัพย์
บุคคลที่ได้รับผลประโยชน์จากการท าธุรกรรมในครั้งนี้ไม่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องใด ๆ กับโอสถสภา จึงไม่เข้าข่ายการ เป็นรายการที่เกี่ยวโยงกันตามประกาศคณะกรรมการก ากับตลาดทุนที่ ทจ. 21/2551 เรื่อง หลักเกณฑ์ในการเข้าท ารายการที่ เกี่ยวโยงกัน และประกาศคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เรื่อง การเปิดเผยข้อมูลและการปฏิบัติการของบริษัท จดทะเบียนในรายการที่เกี่ยวโยงกัน พ.ศ. 2546 (รวมทั้งที่ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติม)
การจำหน่ายหุ้นของยูนิชาร์มดังกล่าวเป็นไปตามยุทธศาสตร์การบริหารจัดการการลงทุนของกลุ่มโอสถสภา ที่มุ่งเน้น การขยายกลุ่มธุรกิจหลัก (core businesses) ทั้งในกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่ม กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล ตลอดจนกลุ่มธุรกิจ ที่สามารถใช้ประโยชน์จากความได้เปรียบทางการแข่งขัน (competitive advantage) ของโอสถสภาจากธุรกิจหลักที่มีสัดส่วนการ ลงทุนอย่างมีนัยสำคัญ เพื่อให้กลุ่มโอสถสภาสามารถจัดสรรทรัพยากรของบริษัทให้มุ้งเน้นการเติบโตของกลุ่มธุรกิจหลักได้อย่างมี ประสิทธิภาพยิ่งขึ้น นอกจากนี้ การจำหน่ายหุ้นของยูนิชาร์มในครั้งนี้ ส่งผลให้โอสถสภาได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนอย่าง เหมาะสมและคุ้มค่า ซึ่งสามารถสร้างผลตอบแทนให้แก่โอสถสภาและผู้ถือหุ้นได้อย่างยั่งยืนต่อไป
อนึ่ง การที่โอสถสภาจำหน่ายหุ้นยูนิชาร์มดังกล่าว ส่งผลให้โอสถสภายุติการลงทุนในยูนิชาร์ม ซึ่งเข้าข่ายเป็นรายการ จำหน่ายไปซึ่งทรัพย์สิน ตามประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุน ที่ ทจ. 20/2551 เรื่อง หลักเกณฑ์ในการทำรายการที่มีนัยสำคัญ ที่เข้าข่ายเป็นการได้มาหรือจำหน่ายไปซึ่งทรัพย์สิน และประกาศคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เรื่อง การเปิดเผย ข้อมูลและการปฏิบัติการของบริษัทจดทะเบียนในการได้มาหรือจำหน่ายไปซึ่งสินทรัพย์ พ.ศ. 2547 (รวมทั้งที่ได้มีการแก้ไข เพิ่มเติม) (รวมเรียกว่า “ประกาศรายการได้มาหรือจำหนายไปซึ่งสินทรัพย์”) โดยมีขนาดรายการสูงสุดเท่ากับร้อยละ 11.24 ตามเกณฑ์มูลค่ารวมของสิ่งตอบแทน อ้างอิงจากงบการเงินระหว่างกาลงวด 3 เดือนฉบับสอบทานของโอสถสภา ณ วันที่ 31 มีนาคม 2566 และหากรวมขนาดรายการจำหน่ายซึ่งสินทรัพย์ที่เกิดขึ้น 180 วันย้อนหลังก่อนวันเข้าทำรายการ ขนาดของรายการ จำหน่ายไปซึ่งสินทรัพย์ คิดเป็นร้อยละ 11.25 จึงไม่เข้าข่ายเป็นรายการได้มาจำหน่ายไปซึ่งสินทรัพย์ที่มีนัยสำคัญตามหลักเกณฑ์ ของประกาศเรื่องรายการได้มาหรือจำหน่ายไปซึ่งสินทรัพย์
บุคคลที่ได้รับผลประโยชน์จากการท าธุรกรรมในครั้งนี้ไม่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องใด ๆ กับโอสถสภา จึงไม่เข้าข่ายการ เป็นรายการที่เกี่ยวโยงกันตามประกาศคณะกรรมการก ากับตลาดทุนที่ ทจ. 21/2551 เรื่อง หลักเกณฑ์ในการเข้าท ารายการที่ เกี่ยวโยงกัน และประกาศคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เรื่อง การเปิดเผยข้อมูลและการปฏิบัติการของบริษัท จดทะเบียนในรายการที่เกี่ยวโยงกัน พ.ศ. 2546 (รวมทั้งที่ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติม)