จับประเด็นหุ้นเด่น
รายงานพิเศษ : SFLEX ปรับกลยุทธ์เน้นสินค้ามาร์จิ้นสูง ปี 66 รายได้ – กำไรขั้นต้น “นิวไฮ”
02 มิถุนายน 2566
ต้นทุนราคาน้ำมันปรับลดลง หนุนกำไรขั้นต้น บริษัทสตาร์เฟล็กซ์ (SFLEX) ทำสถิติสูงสุด ขณะที่การร่วมลงทุนในเวียดนามส่งผลดีรายได้เติบโตยั่งยืน บล.ฟินันเซีย ไซรัส แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 4.7 บาท
ทิศทางราคาน้ำมันปีนี้มีแนวโน้มปรับตัวลง จากความกังวลเกี่ยวกับเศษฐกิจประเทศพัฒนาแล้วถดถอย และความตึงเครียดทางการเมือง ส่งผลดีให้ต้นทุนของผู้ประกอบการปรับลดลง รวมทั้งต้นทุนการทำธุรกิจของบริษัทสตาร์เฟล็กซ์ (SFLEX)
ซึ่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร “สมโภชน์ วัลยะเสวี” มั่นใจผลการดำเนินงานของบริษัททยอยฟื้นตัวขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 4/65 ต่อเนื่องถึงไตรมาส 1/66 ที่รายได้รวมปรับเพิ่มขึ้น11.5% ทำสถิติสูงสุดใหม่ และกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นถึง 66.7% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจากต้นทุนราคาวัตถุดิบปรับตัวลดลง จากราคาน้ำมันและผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน อย่างไรก็ตาม บริษัทได้มีการบริหารจัดการวัตถุดิบล่วงหน้า พร้อมการทยอยปรับราคาขายให้เหมาะสมกับต้นทุน ประกอบกับแผนกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจมุ่งเน้นขายสินค้าที่ให้มาร์จิ้นสูง ซึ่งบริษัทมีความพร้อมทั้งทางด้านเครื่องจักร ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ ทำให้ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้ามาโดยตลอด
ส่วนแผนการดำเนินธุรกิจในปี 66 บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้โตแบบ Organic growth จากธุรกิจหลักเพิ่มขึ้นจากปีก่อนอยู่ที่ประมาณ 1,800-1,850 ล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่แนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/66 คาดว่าจะสามารถเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาส 1/66 จากกลยุทธ์การขยายตลาดเชิงรุกในกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ให้มาร์จิ้นสูง
และจะมุ่งเน้นเจาะกลุ่มลูกค้าที่มีศักยภาพ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ (Medical) ให้มากยิ่งขึ้น ซึ่งเชื่อมั่นว่าช่วยผลักดันการเติบโตได้เพิ่มขึ้นในอนาคต เพื่อมุ่งสร้างความยั่งยืนของอัตรากำไรขั้นต้นให้มั่นคงในระยะยาว พร้อมกันนี้ บริษัทฯ เชื่อมั่นว่าแผนการเข้าไปลงในบริษัท Star Print Vietnam Joint Stock Company หรือ SPV ประเทศเวียดนาม จะเป็นการยกระดับ SFLEX และเพิ่มขีดความสามารถด้านการแข่งขันในภูมิภาคอาเซียน
ที่ผ่านมา SFLEX ได้รับความไว้วางใจจากบริษัทใหญ่ที่มีคุณภาพระดับโลก ทั้งจาก กลุ่ม TU ซึ่งทำให้บริษัทฯ ได้เข้าร่วมลงทุนกับบริษัท ไทยยูเนี่ยน กราฟฟิกส์ จำกัด (TUG) เพื่อดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อน (Flexible Packaging) และดำเนินธุรกิจอื่นใดที่เกี่ยวข้องรวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบรรจุภัณฑ์ใหม่ในอนาคต ตลอดจนการได้วางแผนเข้าร่วมลงทุนใน SPV ประเทศเวียดนามร่วมกับกลุ่ม SCGP ในครั้งนี้ ซึ่งถือเป็นโอกาสที่ดีที่บริษัทฯ จะได้รับประสบการณ์อันยอดเยี่ยมในการทำงานกับบริษัทระดับโลก เพื่อพัฒนาศักยภาพ ยกระดับความสามารถในการแข่งขัน และต่อยอดทางธุรกิจอย่างยั่งยืนต่อไป
ขณะที่บล.ฟินันเซีย ไซรัส วิเคราะห์หุ้น SFLEX โดยระบุบริษัทรายงานกำไรปกติ 1Q23 ที่ 40 ลบ. เพิ่มขึ้น 19% q-q และ 153% y-y สูงกว่าที่เราคาด 15% และแตะระดับสูงสุดในรอบเกือบ 4 ปี ตัวเลขกำไรโตต่อเนื่องส่วนมากจากอัตรากำไรขั้นต้นที่ปรับตัวดีขึ้นเป็น 20.5% สูงที่สุดใน 10 ไตรมาส นับตั้งแต่ 3Q20 อัตรากำไรขั้นต้นที่ดีดังกล่าวใกล้เคียงกับระดับก่อนราคาน้ำมันและค่าระวางปรับตัวขึ้นในช่วงปี 2021-22
ปัจจัยหนุนสำคัญ อยู่ที่อัตรากำไรที่สูงขึ้น มากกว่าการเติบโตของยอดขาย SFLEX รายงานรายได้จากการขายเพิ่ม 12% ทั้ง q-q และ y-y เป็น 472 ลบ. ดีกว่าที่เราคาด เล็กน้อย สัดส่วนรายได้จากบรรจุภัณฑ์ที่ไม่ใช่อาหารเทียบกับบรรจุภัณฑ์อาหารอยู่ที่ 78:22 เปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยจากในอดีต โดยปกติรายได้จากการขายจะทรงตัวอยู่ที่ประมาณ 400-450 ลบ. ต่อไตรมาสในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา โดยมีปัจจัยผลักดันสำคัญอยู่ที่การบริหารต้นทุนเพียงอย่างเดียว ในปี 2023 เราคาดอัตรากำไรขั้นต้นที่ 18.5% ฟื้นตัวจากจุดต่ำสุดที่ 12.6% ในปี 2022
กำไรปกติ 1Q23 ของ SFLEX คิดเป็น 25% ของประมาณการเต็มปีของเราที่ 160 ลบ. พุ่งสูงถึง 193% y-y เราคงประมาณการอัตราการเติบโตของกำไรของเราไว้ที่ 11.8% CAGR ในช่วงปี 2023-25 โดยมีสมมติฐานอัตราการเติบโตของยอดขายที่ 9% CAGR พร้อมอัตรากำไรขั้นต้นที่จะค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้นเป็น 18.5% ในปี 2023 และ 20.0% ในปี 2025 ในเดือน เม.ย. คณะกรรมการบริษัทของ SFLEX ได้อนุมัติแผนการลงทุนเพื่อซื้อหุ้น 25% ใน Star Print Vietnam JSC (SPV) ซึ่งเป็นผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์ประเภทกล่องกระดาษพับในเวียดนามด้วยต้นทุนการลงทุนรวมที่ 383 ลบ. รายการดังกล่าวน่าจะแล้วเสร็จใน 3Q23
เราคาดว่า SFLEX จะได้ประโยชน์เป็นรายได้ต่อปีที่เพิ่มขึ้น 25-30 ลบ. จากการซื้อดังกล่าว เรามองว่าการซื้อ SPV เป็นการลงทุนที่ดีในราคาที่เหมาะสมโดยคิดเป็นค่า P/E ที่ 10.8x ของกำไรของ SPV ในปี 2022
คงแนะนำซื้อ SFLEX ที่ราคาเป้าหมาย 4.7 บาท (24x ของค่า 2023E P/E) ต่ำกว่า -0.5SD ของค่าเฉลี่ย 4 ปีย้อนหลังนับตั้งแต่จดทะเบียนในตลาด ปัจจุบันหุ้นมีการซื้อขายที่ 18.4x ของค่า 2023E P/E และเพียง 12.3x ของค่า 2023E EV/EBITDA ต่ำกว่า -1.0SD ของค่า P/E และ EV/EBITDA เฉลี่ย 4 ปีย้อนหลังนับว่าต่ำที่สุดตั้งแต่จดทะเบียนในตลาด
ทิศทางราคาน้ำมันปีนี้มีแนวโน้มปรับตัวลง จากความกังวลเกี่ยวกับเศษฐกิจประเทศพัฒนาแล้วถดถอย และความตึงเครียดทางการเมือง ส่งผลดีให้ต้นทุนของผู้ประกอบการปรับลดลง รวมทั้งต้นทุนการทำธุรกิจของบริษัทสตาร์เฟล็กซ์ (SFLEX)
ซึ่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร “สมโภชน์ วัลยะเสวี” มั่นใจผลการดำเนินงานของบริษัททยอยฟื้นตัวขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 4/65 ต่อเนื่องถึงไตรมาส 1/66 ที่รายได้รวมปรับเพิ่มขึ้น11.5% ทำสถิติสูงสุดใหม่ และกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นถึง 66.7% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจากต้นทุนราคาวัตถุดิบปรับตัวลดลง จากราคาน้ำมันและผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน อย่างไรก็ตาม บริษัทได้มีการบริหารจัดการวัตถุดิบล่วงหน้า พร้อมการทยอยปรับราคาขายให้เหมาะสมกับต้นทุน ประกอบกับแผนกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจมุ่งเน้นขายสินค้าที่ให้มาร์จิ้นสูง ซึ่งบริษัทมีความพร้อมทั้งทางด้านเครื่องจักร ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ ทำให้ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้ามาโดยตลอด
ส่วนแผนการดำเนินธุรกิจในปี 66 บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้โตแบบ Organic growth จากธุรกิจหลักเพิ่มขึ้นจากปีก่อนอยู่ที่ประมาณ 1,800-1,850 ล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่แนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/66 คาดว่าจะสามารถเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาส 1/66 จากกลยุทธ์การขยายตลาดเชิงรุกในกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ให้มาร์จิ้นสูง
และจะมุ่งเน้นเจาะกลุ่มลูกค้าที่มีศักยภาพ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ (Medical) ให้มากยิ่งขึ้น ซึ่งเชื่อมั่นว่าช่วยผลักดันการเติบโตได้เพิ่มขึ้นในอนาคต เพื่อมุ่งสร้างความยั่งยืนของอัตรากำไรขั้นต้นให้มั่นคงในระยะยาว พร้อมกันนี้ บริษัทฯ เชื่อมั่นว่าแผนการเข้าไปลงในบริษัท Star Print Vietnam Joint Stock Company หรือ SPV ประเทศเวียดนาม จะเป็นการยกระดับ SFLEX และเพิ่มขีดความสามารถด้านการแข่งขันในภูมิภาคอาเซียน
ที่ผ่านมา SFLEX ได้รับความไว้วางใจจากบริษัทใหญ่ที่มีคุณภาพระดับโลก ทั้งจาก กลุ่ม TU ซึ่งทำให้บริษัทฯ ได้เข้าร่วมลงทุนกับบริษัท ไทยยูเนี่ยน กราฟฟิกส์ จำกัด (TUG) เพื่อดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อน (Flexible Packaging) และดำเนินธุรกิจอื่นใดที่เกี่ยวข้องรวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบรรจุภัณฑ์ใหม่ในอนาคต ตลอดจนการได้วางแผนเข้าร่วมลงทุนใน SPV ประเทศเวียดนามร่วมกับกลุ่ม SCGP ในครั้งนี้ ซึ่งถือเป็นโอกาสที่ดีที่บริษัทฯ จะได้รับประสบการณ์อันยอดเยี่ยมในการทำงานกับบริษัทระดับโลก เพื่อพัฒนาศักยภาพ ยกระดับความสามารถในการแข่งขัน และต่อยอดทางธุรกิจอย่างยั่งยืนต่อไป
ขณะที่บล.ฟินันเซีย ไซรัส วิเคราะห์หุ้น SFLEX โดยระบุบริษัทรายงานกำไรปกติ 1Q23 ที่ 40 ลบ. เพิ่มขึ้น 19% q-q และ 153% y-y สูงกว่าที่เราคาด 15% และแตะระดับสูงสุดในรอบเกือบ 4 ปี ตัวเลขกำไรโตต่อเนื่องส่วนมากจากอัตรากำไรขั้นต้นที่ปรับตัวดีขึ้นเป็น 20.5% สูงที่สุดใน 10 ไตรมาส นับตั้งแต่ 3Q20 อัตรากำไรขั้นต้นที่ดีดังกล่าวใกล้เคียงกับระดับก่อนราคาน้ำมันและค่าระวางปรับตัวขึ้นในช่วงปี 2021-22
ปัจจัยหนุนสำคัญ อยู่ที่อัตรากำไรที่สูงขึ้น มากกว่าการเติบโตของยอดขาย SFLEX รายงานรายได้จากการขายเพิ่ม 12% ทั้ง q-q และ y-y เป็น 472 ลบ. ดีกว่าที่เราคาด เล็กน้อย สัดส่วนรายได้จากบรรจุภัณฑ์ที่ไม่ใช่อาหารเทียบกับบรรจุภัณฑ์อาหารอยู่ที่ 78:22 เปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยจากในอดีต โดยปกติรายได้จากการขายจะทรงตัวอยู่ที่ประมาณ 400-450 ลบ. ต่อไตรมาสในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา โดยมีปัจจัยผลักดันสำคัญอยู่ที่การบริหารต้นทุนเพียงอย่างเดียว ในปี 2023 เราคาดอัตรากำไรขั้นต้นที่ 18.5% ฟื้นตัวจากจุดต่ำสุดที่ 12.6% ในปี 2022
กำไรปกติ 1Q23 ของ SFLEX คิดเป็น 25% ของประมาณการเต็มปีของเราที่ 160 ลบ. พุ่งสูงถึง 193% y-y เราคงประมาณการอัตราการเติบโตของกำไรของเราไว้ที่ 11.8% CAGR ในช่วงปี 2023-25 โดยมีสมมติฐานอัตราการเติบโตของยอดขายที่ 9% CAGR พร้อมอัตรากำไรขั้นต้นที่จะค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้นเป็น 18.5% ในปี 2023 และ 20.0% ในปี 2025 ในเดือน เม.ย. คณะกรรมการบริษัทของ SFLEX ได้อนุมัติแผนการลงทุนเพื่อซื้อหุ้น 25% ใน Star Print Vietnam JSC (SPV) ซึ่งเป็นผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์ประเภทกล่องกระดาษพับในเวียดนามด้วยต้นทุนการลงทุนรวมที่ 383 ลบ. รายการดังกล่าวน่าจะแล้วเสร็จใน 3Q23
เราคาดว่า SFLEX จะได้ประโยชน์เป็นรายได้ต่อปีที่เพิ่มขึ้น 25-30 ลบ. จากการซื้อดังกล่าว เรามองว่าการซื้อ SPV เป็นการลงทุนที่ดีในราคาที่เหมาะสมโดยคิดเป็นค่า P/E ที่ 10.8x ของกำไรของ SPV ในปี 2022
คงแนะนำซื้อ SFLEX ที่ราคาเป้าหมาย 4.7 บาท (24x ของค่า 2023E P/E) ต่ำกว่า -0.5SD ของค่าเฉลี่ย 4 ปีย้อนหลังนับตั้งแต่จดทะเบียนในตลาด ปัจจุบันหุ้นมีการซื้อขายที่ 18.4x ของค่า 2023E P/E และเพียง 12.3x ของค่า 2023E EV/EBITDA ต่ำกว่า -1.0SD ของค่า P/E และ EV/EBITDA เฉลี่ย 4 ปีย้อนหลังนับว่าต่ำที่สุดตั้งแต่จดทะเบียนในตลาด