ธนาคารกสิกรไทยจับมือองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก เซ็นเอ็มโอยู ศึกษาและพัฒนาธุรกิจการซื้อขายแลกเปลี่ยนคาร์บอนเครดิต และการบริหารจัดการคาร์บอนเครดิต สนับสนุนประกอบการและประชาชนทั่วไปซื้อขายแลกเปลี่ยนคาร์บอนเครดิตเข้าถึงง่ายและใช้งานได้จริง ร่วมผลักดันให้ประเทศไทยสู่ Net Zero
นายพิพิธ เอนกนิธิ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย (KBANK)กล่าวว่า ธนาคารกสิกรไทยดำเนินงานตามแนวทางของธนาคารแห่งความยั่งยืน (Bank of Sustainability) ที่ต้องการสนับสนุนให้คนไทยได้มีส่วนร่วมในการลดก๊าซเรือนกระจกอย่างยั่งยืนผ่านโครงการต่างๆ ภายใต้แนวคิด GO GREEN Together ทั้งนี้คนส่วนใหญ่อาจจะยังไม่เข้าใจแนวคิดเรื่องคาร์บอนเครดิตมากนัก ทำให้ที่ผ่านมาการซื้อขายคาร์บอนเครดิตในไทยจำกัดอยู่ในองค์กรขนาดใหญ่ แต่จากการตื่นตัวเรื่องสิ่งแวดล้อมทำให้ตลาดคาร์บอนเครดิตเริ่มคึกคักขึ้น โดยปริมาณและมูลค่าการซื้อขายคาร์บอนเครดิตเฉพาะ 2 เดือนแรกของปี 2566 เติบโตมากกว่า 5 เท่าเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ซึ่งจะเป็นโอกาสและสร้างแรงจูงใจให้แก่ผู้ที่สนใจตลาดคาร์บอนเครดิตควบคู่ไปกับการลดก๊าซเรือนกระจกอย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ธนาคารได้รับความร่วมมือจากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. ซึ่งเป็นพันธมิตรที่มีเจตนารมย์เดียวกับธนาคาร ทั้งยังมีความเชี่ยวชาญและมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการลดก๊าซเรือนกระจกในประเทศไทย มาร่วมกันศึกษาพัฒนาให้คนไทยเข้าถึงการซื้อขายแลกเปลี่ยนคาร์บอนเครดิตเพื่อสร้างสังคมสีเขียวไปด้วยกัน
นายเกียรติชาย ไมตรีวงษ์ ผู้อำนวยการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. กล่าวว่า อบก. เป็นองค์กรที่ส่งเสริมสนับสนุนการลดก๊าซเรือนกระจกในประเทศไทย โดยมีบทบาทหลักคือการกำหนดมาตรฐาน การประเมินผลสำเร็จ ในการลดหรือกักเก็บก๊าซเรือนกระจก หรือที่เรียกว่า “คาร์บอนเครดิต” รวมถึงบทบาทการพัฒนามาตรฐาน ให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือที่เรียกว่า "คาร์บอนฟุตพริ้นท์" ทั้งในระดับบุคคล ระดับการจัดประชุม ระดับงานอีเวนต์ ระดับผลิตภัณฑ์ ระดับองค์กรธุรกิจเอกชนและภาครัฐ ระดับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ระดับเมือง และจังหวัด
นอกจากนี้ อบก. ยังส่งเสริมให้เกิดกลไกในการนำคาร์บอนเครดิตที่มีมาตรฐานไปชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในแต่ละภาคส่วนที่มีการปล่อยสูงกว่าเป้าหมายได้ โดยผ่านกลไกตลาดคาร์บอน อย่างไรก็ตามสาเหตุที่การซื้อขายคาร์บอนเครดิตในไทยยังคงอยู่ในวงจำกัด เนื่องจากความต้องการของผู้ซื้อและผู้ขายยังไม่สมดุลกัน อีกทั้งยังขาดสิทธิประโยชน์ที่เป็นแรงจูงใจ และมีข้อจำกัดทางกฎหมายกฎระเบียบที่อาจจะเป็นอุปสรรคต่อการซื้อขายคาร์บอนเครดิต ดังนั้น การได้ร่วมมือกับธนาคารกสิกรไทยจึงเป็นอีกหนึ่งแรงขับเคลื่อนที่จะช่วยกันผลักดันให้เกิดสังคมคาร์บอนต่ำได้จริง เพื่อสนับสนุนให้ประเทศเดินหน้าสู่การเป็น Net Zero
สำหรับความร่วมมือในครั้งนี้ธนาคารกสิกรไทยร่วมกับองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือว่าด้วยการศึกษาและพัฒนาธุรกิจการซื้อขายแลกเปลี่ยนคาร์บอนเครดิต และการบริหารจัดการคาร์บอนเครดิต เพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการและประชาชนทั่วไปได้มีส่วนร่วมในการลดก๊าซเรือนกระจกอย่างยั่งยืน โดยจะร่วมกันศึกษาและพัฒนานวัตกรรม ระบบโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายแลกเปลี่ยนคาร์บอนเครดิต และนำไปพัฒนาให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ที่ต้องการซื้อขายแลกเปลี่ยนคาร์บอนเครดิต
รวมทั้งศึกษาการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ เช่น ระบบบล็อกเชนเข้ามาใช้ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อส่งเสริมประสิทธิภาพในการขึ้นทะเบียน การซื้อขาย และการโอนถ่ายคาร์บอนเครดิต ให้มีความเหมาะสมแก่ผู้ใช้งานทุกกลุ่ม ได้แก่ องค์กรขนาดใหญ่ ธุรกิจเอสเอ็มอี และประชาชนทั่วไปให้สามารถเข้าถึงง่ายและใช้งานได้จริง ซึ่งความร่วมมือในครั้งนี้จะทำให้การซื้อขายแลกเปลี่ยนคาร์บอนเครดิตในไทยแพร่หลายมากขึ้น กระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นการลดก๊าซเรือนกระจกอย่างยั่งยืน ผลักดันให้ประเทศไทยเดินหน้าสู่ Net Zero ได้ตามเป้าหมาย
นายพิพิธ เอนกนิธิ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย (KBANK)กล่าวว่า ธนาคารกสิกรไทยดำเนินงานตามแนวทางของธนาคารแห่งความยั่งยืน (Bank of Sustainability) ที่ต้องการสนับสนุนให้คนไทยได้มีส่วนร่วมในการลดก๊าซเรือนกระจกอย่างยั่งยืนผ่านโครงการต่างๆ ภายใต้แนวคิด GO GREEN Together ทั้งนี้คนส่วนใหญ่อาจจะยังไม่เข้าใจแนวคิดเรื่องคาร์บอนเครดิตมากนัก ทำให้ที่ผ่านมาการซื้อขายคาร์บอนเครดิตในไทยจำกัดอยู่ในองค์กรขนาดใหญ่ แต่จากการตื่นตัวเรื่องสิ่งแวดล้อมทำให้ตลาดคาร์บอนเครดิตเริ่มคึกคักขึ้น โดยปริมาณและมูลค่าการซื้อขายคาร์บอนเครดิตเฉพาะ 2 เดือนแรกของปี 2566 เติบโตมากกว่า 5 เท่าเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ซึ่งจะเป็นโอกาสและสร้างแรงจูงใจให้แก่ผู้ที่สนใจตลาดคาร์บอนเครดิตควบคู่ไปกับการลดก๊าซเรือนกระจกอย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ธนาคารได้รับความร่วมมือจากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. ซึ่งเป็นพันธมิตรที่มีเจตนารมย์เดียวกับธนาคาร ทั้งยังมีความเชี่ยวชาญและมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการลดก๊าซเรือนกระจกในประเทศไทย มาร่วมกันศึกษาพัฒนาให้คนไทยเข้าถึงการซื้อขายแลกเปลี่ยนคาร์บอนเครดิตเพื่อสร้างสังคมสีเขียวไปด้วยกัน
นายเกียรติชาย ไมตรีวงษ์ ผู้อำนวยการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. กล่าวว่า อบก. เป็นองค์กรที่ส่งเสริมสนับสนุนการลดก๊าซเรือนกระจกในประเทศไทย โดยมีบทบาทหลักคือการกำหนดมาตรฐาน การประเมินผลสำเร็จ ในการลดหรือกักเก็บก๊าซเรือนกระจก หรือที่เรียกว่า “คาร์บอนเครดิต” รวมถึงบทบาทการพัฒนามาตรฐาน ให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือที่เรียกว่า "คาร์บอนฟุตพริ้นท์" ทั้งในระดับบุคคล ระดับการจัดประชุม ระดับงานอีเวนต์ ระดับผลิตภัณฑ์ ระดับองค์กรธุรกิจเอกชนและภาครัฐ ระดับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ระดับเมือง และจังหวัด
นอกจากนี้ อบก. ยังส่งเสริมให้เกิดกลไกในการนำคาร์บอนเครดิตที่มีมาตรฐานไปชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในแต่ละภาคส่วนที่มีการปล่อยสูงกว่าเป้าหมายได้ โดยผ่านกลไกตลาดคาร์บอน อย่างไรก็ตามสาเหตุที่การซื้อขายคาร์บอนเครดิตในไทยยังคงอยู่ในวงจำกัด เนื่องจากความต้องการของผู้ซื้อและผู้ขายยังไม่สมดุลกัน อีกทั้งยังขาดสิทธิประโยชน์ที่เป็นแรงจูงใจ และมีข้อจำกัดทางกฎหมายกฎระเบียบที่อาจจะเป็นอุปสรรคต่อการซื้อขายคาร์บอนเครดิต ดังนั้น การได้ร่วมมือกับธนาคารกสิกรไทยจึงเป็นอีกหนึ่งแรงขับเคลื่อนที่จะช่วยกันผลักดันให้เกิดสังคมคาร์บอนต่ำได้จริง เพื่อสนับสนุนให้ประเทศเดินหน้าสู่การเป็น Net Zero
สำหรับความร่วมมือในครั้งนี้ธนาคารกสิกรไทยร่วมกับองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือว่าด้วยการศึกษาและพัฒนาธุรกิจการซื้อขายแลกเปลี่ยนคาร์บอนเครดิต และการบริหารจัดการคาร์บอนเครดิต เพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการและประชาชนทั่วไปได้มีส่วนร่วมในการลดก๊าซเรือนกระจกอย่างยั่งยืน โดยจะร่วมกันศึกษาและพัฒนานวัตกรรม ระบบโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายแลกเปลี่ยนคาร์บอนเครดิต และนำไปพัฒนาให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ที่ต้องการซื้อขายแลกเปลี่ยนคาร์บอนเครดิต
รวมทั้งศึกษาการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ เช่น ระบบบล็อกเชนเข้ามาใช้ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อส่งเสริมประสิทธิภาพในการขึ้นทะเบียน การซื้อขาย และการโอนถ่ายคาร์บอนเครดิต ให้มีความเหมาะสมแก่ผู้ใช้งานทุกกลุ่ม ได้แก่ องค์กรขนาดใหญ่ ธุรกิจเอสเอ็มอี และประชาชนทั่วไปให้สามารถเข้าถึงง่ายและใช้งานได้จริง ซึ่งความร่วมมือในครั้งนี้จะทำให้การซื้อขายแลกเปลี่ยนคาร์บอนเครดิตในไทยแพร่หลายมากขึ้น กระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นการลดก๊าซเรือนกระจกอย่างยั่งยืน ผลักดันให้ประเทศไทยเดินหน้าสู่ Net Zero ได้ตามเป้าหมาย