เจ๊จิ๋ม..สายเถื่อน 07-06-23
07-06-23 สวัสดีพี่น้องชาวไทย "เจ๊จิ๋ม" มารายงานตัว ณ ที่เก่าเวลาเดิม www.share2trade.com เปิดอ่านได้เลยเวลา 7.30 น.มีเรื่องเด็ดๆ โดนๆ มาเม้าท์กันให้สนั่นวงการลงทุนของพวกเรากันเถอะ
***มีรายงานข่าวเรื่องว่าสมาคมธุรกิจเช่าซื้อไทยได้ประชุมร่วมกับแบงก์ชาติ เพื่อเตรียมความพร้อมการกำกับดูแลธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์ เบื้องต้นคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ใน 1 พ.ย. 66
***ต่อเรื่องนี้เซียนหุ้นบอกว่ามีมุมมองเป็นกลางเนื่องจาก
1) ครม. มีการอนุมัติร่าง พ.ร.ฎ. กำกับธุรกิจเช่าซื้อรถและลีสซิ่งอยู่ใต้กฎหมายสถาบันการเงินให้อำนาจแบงก์ชาติดูแลตรวจสอบได้ตั้งแต่ มี.ค. 2023 ที่ผ่านมาแล้ว
2) ประเมินว่าการเข้ามาควบคุมในครั้งนี้จะเป็นการควบคุมด้านการดำเนินงานและ market conduct ให้มีความโปร่งใสและเปรียบเทียบได้มากขึ้น โดยคาดว่ามีโอกาสที่จะเป็นการควบคุมด้านค่าปรับและเกณฑ์ LTV ซึ่งในปัจจุบันผู้ประกอบการเช่าซื้อได้ทยอยปรับลด LTV และเพิ่มเงินดาวน์ ภายหลังที่มีการควบคุมอัตราดอกเบี้ยตั้งแต่ ม.ค. ที่ผ่านมาแล้ว
3) คาดว่า ธปท. จะยังไม่เข้ามาควบคุมอัตราดอกเบี้ยเช่าซื้อเพิ่มเติมจากที่ สคบ. ควบคุมในช่วง ม.ค.ที่ผ่านมา (รถยนต์ใหม่ 10% รถยนต์เก่า 15% และ รถจักรยานยนต์ 23%) เนื่องจาก ธปท.ได้เป็นหนึ่งในกลุ่มที่ได้ทำ hearing ช่วงที่สคบ.จะทำควบคุมในปีนี้
***คำแนะนำของเซียนหุ้นคือยังคงน้ำหนักการลงทุนกลุ่ม Finance "มากกว่าตลาด" จาก NPL ที่จะผ่านจุดสูงสุดใน 2Q23E และจะทยอยดีขึ้นช่วง 2H23E ทำให้ผู้ประกอบการสามารถเร่งปล่อยสินเชื่อมากขึ้น รวมทั้งต้นทุนทางการเงินที่จะเพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอลงภายใต้สมมติฐานที่ กนง. จะไม่เพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายใน 2H23E จากเงินเฟ้อที่ดีขึ้น โดยมี top pick เป็น TIDLOR (ซื้อ/เป้า 33.00 บาท) ส่วนกลุ่มธนาคารมองเป็นกลาง หากมีการปรับเกณฑ์เฉพาะเรื่อง market conduct เพราะกลุ่มธนาคารอยู่ภายใต้ ธปท. อยู่แล้ว แต่หากมีการควบคุมเรื่องค่าปรับหรือ LTV ก็จะเป็น sentiment เชิงลบต่อกลุ่มธนาคารที่มีบริษัทลูกของธนาคารพาณิชย์ทำธุรกิจ Leasing เช่น KLeasing (KBANK), T-Leasing (TTB), SCB Leasing (SCB), KTB Leasing (KTB) และ Hi-Way (TISCO) ได้โดยยังคงต้องรายละเอียดเพิ่มเติมจากธปท. อีกครั้ง ทั้งนี้ยังคงน้ำหนักกลุ่มธนาคารเป็น “มากกว่าตลาด” เลือก BBL (ซื้อ/เป้า 195.00 บาท), KTB (ซื้อ/เป้า 21.00 บาท) เป็น Top pick
***ส่วนเซียนหุ้นอีกค่ายแนะนำ NEUTRAL ต่อกลุ่มเงินทุนและหลักทรัพย์ เพราะปัญหาคุณภาพสินทรัพย์อ่อนแอต่อเนื่อง ทำให้คาดว่าค่าใช้จ่ายสำรอง (credit cost) และ NPL Ratio ยังคงอยู่ระดับสูง ซึ่งคาดว่าจุดที่แย่ที่สุดเป็นช่วงกลาง-ปลายปี 2023F รวมถึง ต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้น ตามทิศทางดอกเบี้ยนโยบาย ดังนั้นคาดกดดันผลประกอบการ 2Q23F อย่างไรก็ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะกลุ่มท่องเที่ยว และหากมีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำคาดว่าจะช่วยให้ความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้เพิ่มขึ้นโดยคง SAWAD (TP 65 บ.) เป็น Top Pick
***หุ้นเด่นๆ ในกลุ่มนี้แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นมี TIDLOR อยู่ด้วย มีรายงานว่ากูรูหุ้นหลายค่ายต่างพร้อมใจออกมาอัพราคาเป้าหมายเพิ่มขึ้น โดยให้ราคาสูงสุดที่ 36 บาท ตอบรับมุมมองเชิงบวกต่อการปรับลดเป้า NPL เป็นไม่เกิน 1.8% จาก 2% และเป้าค่าใช้จ่ายสำรองหนี้สูญลดลงเป็นกรอบ 3.0-3.35% รวมถึงปรับประมาณการกำไรปี 2566-2568 เพิ่มขึ้น เพื่อสะท้อนการคลายกังวลด้านคุณภาพสินเชื่อและแนวโน้มการตั้งสำรองที่ลดลง
ชี้มีงบดุลแข็งแกร่งต้านทานการแข่งขันรุนแรงได้
***บล.เกียรตินาคินภัทร ได้ปรับเพิ่มคำแนะนำ TIDLOR เป็น Buy จาก Underperform ราคาเป้าหมาย 36 บาท (เพิ่มจาก 22 บาท) หลังผลประกอบการไตรมาส 1/2566 ดีกว่าคาด และมุมมองเชิงบวกต่อคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีขึ้นในวงกว้าง ความกังวลการผิดนัดชำระหนี้และภาระค่าใช้จ่ายการตั้งสำรองที่ลดลง โดยมีการปรับประมาณการกำไรปี 2566-2568 เพิ่มขึ้น 4%, 9% และ 10% ตามลำดับ โดยราคาเป้าหมายใหม่ที่ 36 บาท มาจากเป้า PBV ปี 2567 ที่ 3 เท่า TIDLOR เป็นตัวเลือกเดียวในกลุ่มธุรกิจการเงิน เนื่องจากมีงบดุลที่แข็งแกร่ง และการที่สามารถฝ่าฟันปัจจัยลบต่างๆ ของภาคอุตสาหกรรมมาได้ ซึ่งรวมถึงการเพิ่มขึ้นของการผิดนัดชำระหนี้และการแข่งขันที่รุนแรง
***บล.กสิกรไทย ระบุว่า TIDLOR เป็นรายแรกที่หลุดจากวัฎจักร NPL ปรับเพิ่มคำแนะนำมาเป็น Outperform จาก Neutral และได้เพิ่มราคาเป้าหมายมาที่ 30 บาท จาก 24 บาท โดยมาจาก 1. การปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 2566-2568 2.การเพิ่ม PBV ในระยะยาวมาที่ 2.63 เท่า จาก 2.53 เท่า เพื่อสะท้อนแนวโน้ม ROE ที่ดีขึ้นเล็กน้อย
***บล.ดาโอ (ประเทศไทย) ปรับคำแนะนำ ขึ้นเป็น “ซื้อ ” จากเดิม “ถือ” และปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 33 บาท อิง 2023EPBV ที่ 3.0x (เดิม 25.00 บาท อิง 2023E PBV ที่ 2.4x) มีมุมมองเป็นบวกมากขึ้นจากการปรับเป้า NPL ลงเป็นไม่เกิน 1.8% และค่าใช้จ่ายสำรองลดลงเป็น 3.0-3.35% ขณะที่ผลการดำเนินงานด้านอื่นยังคงเป็นไปตามเดิม ทั้งสินเชื่อที่เติบโตดี +10-20%, cost of fund ยังเพิ่มขึ้น +50 bps และ cost to income ที่จะเพิ่มขึ้นใน 2H23E จากการกลับมาเปิดสาขา จากปัจจุบันที่ชะลอ โดยปรับกำไรสุทธิปี 2023E ขึ้น +13% เป็น 3.8 พันล้านบาท (+5% YoY) และปี 2024E ขึ้น +17% เป็น 4.7 พันล้านบาท (+22% YoY) จากการปรับเพิ่ม loan growth, ลด NPL และ credit cost ลงสะท้อนความกังวลที่ลดลงต่อ NPL ที่จะเพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอตัวลง
***อีกเรื่องเด่นที่เป็นไฮไลท์ของวันนี้ "ไม่พูดถึง..ไม่ได้เด็ดขาด" สายสืบรายงานด่วนๆ มาว่าบอร์ดของ OTO อนุมัติแต่งตั้ง “บัณฑิต สะเพียรชัย” พาร์ทเนอร์ใหม่ขึ้นแท่น CEO ของ OTO แล้วคร๊าฟฟฟฟฟฟ ให้มีผล 1 ก.ค.นี้ ปรบมือรัวๆๆๆๆ ไปเลยซิคะ..ได้ผู้บริหารมือดี-วิชั่นไกล-คอนเนคชั่น+พันธมิตรทั่วโลก มานั่งบริหารงานแบบนี้ มองอนาคตใสๆ เลย เรื่องที่มีแผนขยายการลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในช่วงครี่งหลังของปีนี้ ซึ่งจะทำให้บริษัทฯมีรายได้ประจำ (Recuring Income) สนับสนุนธุรกิจเติบโตอย่างแข็งแกร่งในอนาคต นอกเหนือจากรายได้ธุรกิจ Contact Center และ Call Center ได้เห็นในอนาคตอันใกล้นี้แร่ะ!!!
***ปล. มีอีกเรื่องที่ขอย้ำเอาไว้อีกครั้งคือ OTO ยังมีแผนขยายการลงทุน EV Bike และเข้าสู่ Climate Tech ผ่านการจัดตั้ง บริษัท ซีซีเอส คาร์บอน เคลียร์ โซลูชั่น ทำธุรกิจให้บริการบริหารจัดการคาร์บอนเครดิตครบวงจร ซึ่งจะช่วยผลักดันแนวโน้มผลการดำเนินงานในปี 2566 เติบโตอย่างก้าวกระโดด
***ปิดท้ายวันนี้กับหุ้นดีและอนาคตไกลอีกตัวคือ PCC ครั้งนี้ "อมร แดงโชติ" รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ออกมาส่งซิกเรื่องแนวโน้มผลงานไตรมาส 2/2566 คาดว่าจะเติบโตได้ดีต่อเนื่อง โดย PCC พร้อมใส่เกียร์เดินหน้าเข้าร่วมประมูลงานใหม่เต็มพิกัด ส่วนภาพรวมทั้งปี 2566 ตั้งเป้ารายได้จะเติบโตจากปีก่อนที่ทำได้ 4,860 ล้านบาท นอกจากนี้มีอีกเรื่องที่น่าสนใจคือมองเห็นโอกาสการเติบโตจากการที่ Tesla มีแผนจะขยายสถานีชาร์จ Tesla Supercharger ซึ่งในไตรมาสแรกที่ผ่านมา PCC ได้รับงานจาก Tesla แล้วในการติดตั้งระบบจำนวน 2 สถานีชาร์จ ว๊าววววว..เจ๋งสุดๆ ไปเลย
07-06-23 สวัสดีพี่น้องชาวไทย "เจ๊จิ๋ม" มารายงานตัว ณ ที่เก่าเวลาเดิม www.share2trade.com เปิดอ่านได้เลยเวลา 7.30 น.มีเรื่องเด็ดๆ โดนๆ มาเม้าท์กันให้สนั่นวงการลงทุนของพวกเรากันเถอะ
***มีรายงานข่าวเรื่องว่าสมาคมธุรกิจเช่าซื้อไทยได้ประชุมร่วมกับแบงก์ชาติ เพื่อเตรียมความพร้อมการกำกับดูแลธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์ เบื้องต้นคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ใน 1 พ.ย. 66
***ต่อเรื่องนี้เซียนหุ้นบอกว่ามีมุมมองเป็นกลางเนื่องจาก
1) ครม. มีการอนุมัติร่าง พ.ร.ฎ. กำกับธุรกิจเช่าซื้อรถและลีสซิ่งอยู่ใต้กฎหมายสถาบันการเงินให้อำนาจแบงก์ชาติดูแลตรวจสอบได้ตั้งแต่ มี.ค. 2023 ที่ผ่านมาแล้ว
2) ประเมินว่าการเข้ามาควบคุมในครั้งนี้จะเป็นการควบคุมด้านการดำเนินงานและ market conduct ให้มีความโปร่งใสและเปรียบเทียบได้มากขึ้น โดยคาดว่ามีโอกาสที่จะเป็นการควบคุมด้านค่าปรับและเกณฑ์ LTV ซึ่งในปัจจุบันผู้ประกอบการเช่าซื้อได้ทยอยปรับลด LTV และเพิ่มเงินดาวน์ ภายหลังที่มีการควบคุมอัตราดอกเบี้ยตั้งแต่ ม.ค. ที่ผ่านมาแล้ว
3) คาดว่า ธปท. จะยังไม่เข้ามาควบคุมอัตราดอกเบี้ยเช่าซื้อเพิ่มเติมจากที่ สคบ. ควบคุมในช่วง ม.ค.ที่ผ่านมา (รถยนต์ใหม่ 10% รถยนต์เก่า 15% และ รถจักรยานยนต์ 23%) เนื่องจาก ธปท.ได้เป็นหนึ่งในกลุ่มที่ได้ทำ hearing ช่วงที่สคบ.จะทำควบคุมในปีนี้
***คำแนะนำของเซียนหุ้นคือยังคงน้ำหนักการลงทุนกลุ่ม Finance "มากกว่าตลาด" จาก NPL ที่จะผ่านจุดสูงสุดใน 2Q23E และจะทยอยดีขึ้นช่วง 2H23E ทำให้ผู้ประกอบการสามารถเร่งปล่อยสินเชื่อมากขึ้น รวมทั้งต้นทุนทางการเงินที่จะเพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอลงภายใต้สมมติฐานที่ กนง. จะไม่เพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายใน 2H23E จากเงินเฟ้อที่ดีขึ้น โดยมี top pick เป็น TIDLOR (ซื้อ/เป้า 33.00 บาท) ส่วนกลุ่มธนาคารมองเป็นกลาง หากมีการปรับเกณฑ์เฉพาะเรื่อง market conduct เพราะกลุ่มธนาคารอยู่ภายใต้ ธปท. อยู่แล้ว แต่หากมีการควบคุมเรื่องค่าปรับหรือ LTV ก็จะเป็น sentiment เชิงลบต่อกลุ่มธนาคารที่มีบริษัทลูกของธนาคารพาณิชย์ทำธุรกิจ Leasing เช่น KLeasing (KBANK), T-Leasing (TTB), SCB Leasing (SCB), KTB Leasing (KTB) และ Hi-Way (TISCO) ได้โดยยังคงต้องรายละเอียดเพิ่มเติมจากธปท. อีกครั้ง ทั้งนี้ยังคงน้ำหนักกลุ่มธนาคารเป็น “มากกว่าตลาด” เลือก BBL (ซื้อ/เป้า 195.00 บาท), KTB (ซื้อ/เป้า 21.00 บาท) เป็น Top pick
***ส่วนเซียนหุ้นอีกค่ายแนะนำ NEUTRAL ต่อกลุ่มเงินทุนและหลักทรัพย์ เพราะปัญหาคุณภาพสินทรัพย์อ่อนแอต่อเนื่อง ทำให้คาดว่าค่าใช้จ่ายสำรอง (credit cost) และ NPL Ratio ยังคงอยู่ระดับสูง ซึ่งคาดว่าจุดที่แย่ที่สุดเป็นช่วงกลาง-ปลายปี 2023F รวมถึง ต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้น ตามทิศทางดอกเบี้ยนโยบาย ดังนั้นคาดกดดันผลประกอบการ 2Q23F อย่างไรก็ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะกลุ่มท่องเที่ยว และหากมีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำคาดว่าจะช่วยให้ความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้เพิ่มขึ้นโดยคง SAWAD (TP 65 บ.) เป็น Top Pick
***หุ้นเด่นๆ ในกลุ่มนี้แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นมี TIDLOR อยู่ด้วย มีรายงานว่ากูรูหุ้นหลายค่ายต่างพร้อมใจออกมาอัพราคาเป้าหมายเพิ่มขึ้น โดยให้ราคาสูงสุดที่ 36 บาท ตอบรับมุมมองเชิงบวกต่อการปรับลดเป้า NPL เป็นไม่เกิน 1.8% จาก 2% และเป้าค่าใช้จ่ายสำรองหนี้สูญลดลงเป็นกรอบ 3.0-3.35% รวมถึงปรับประมาณการกำไรปี 2566-2568 เพิ่มขึ้น เพื่อสะท้อนการคลายกังวลด้านคุณภาพสินเชื่อและแนวโน้มการตั้งสำรองที่ลดลง
ชี้มีงบดุลแข็งแกร่งต้านทานการแข่งขันรุนแรงได้
***บล.เกียรตินาคินภัทร ได้ปรับเพิ่มคำแนะนำ TIDLOR เป็น Buy จาก Underperform ราคาเป้าหมาย 36 บาท (เพิ่มจาก 22 บาท) หลังผลประกอบการไตรมาส 1/2566 ดีกว่าคาด และมุมมองเชิงบวกต่อคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีขึ้นในวงกว้าง ความกังวลการผิดนัดชำระหนี้และภาระค่าใช้จ่ายการตั้งสำรองที่ลดลง โดยมีการปรับประมาณการกำไรปี 2566-2568 เพิ่มขึ้น 4%, 9% และ 10% ตามลำดับ โดยราคาเป้าหมายใหม่ที่ 36 บาท มาจากเป้า PBV ปี 2567 ที่ 3 เท่า TIDLOR เป็นตัวเลือกเดียวในกลุ่มธุรกิจการเงิน เนื่องจากมีงบดุลที่แข็งแกร่ง และการที่สามารถฝ่าฟันปัจจัยลบต่างๆ ของภาคอุตสาหกรรมมาได้ ซึ่งรวมถึงการเพิ่มขึ้นของการผิดนัดชำระหนี้และการแข่งขันที่รุนแรง
***บล.กสิกรไทย ระบุว่า TIDLOR เป็นรายแรกที่หลุดจากวัฎจักร NPL ปรับเพิ่มคำแนะนำมาเป็น Outperform จาก Neutral และได้เพิ่มราคาเป้าหมายมาที่ 30 บาท จาก 24 บาท โดยมาจาก 1. การปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 2566-2568 2.การเพิ่ม PBV ในระยะยาวมาที่ 2.63 เท่า จาก 2.53 เท่า เพื่อสะท้อนแนวโน้ม ROE ที่ดีขึ้นเล็กน้อย
***บล.ดาโอ (ประเทศไทย) ปรับคำแนะนำ ขึ้นเป็น “ซื้อ ” จากเดิม “ถือ” และปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 33 บาท อิง 2023EPBV ที่ 3.0x (เดิม 25.00 บาท อิง 2023E PBV ที่ 2.4x) มีมุมมองเป็นบวกมากขึ้นจากการปรับเป้า NPL ลงเป็นไม่เกิน 1.8% และค่าใช้จ่ายสำรองลดลงเป็น 3.0-3.35% ขณะที่ผลการดำเนินงานด้านอื่นยังคงเป็นไปตามเดิม ทั้งสินเชื่อที่เติบโตดี +10-20%, cost of fund ยังเพิ่มขึ้น +50 bps และ cost to income ที่จะเพิ่มขึ้นใน 2H23E จากการกลับมาเปิดสาขา จากปัจจุบันที่ชะลอ โดยปรับกำไรสุทธิปี 2023E ขึ้น +13% เป็น 3.8 พันล้านบาท (+5% YoY) และปี 2024E ขึ้น +17% เป็น 4.7 พันล้านบาท (+22% YoY) จากการปรับเพิ่ม loan growth, ลด NPL และ credit cost ลงสะท้อนความกังวลที่ลดลงต่อ NPL ที่จะเพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอตัวลง
***อีกเรื่องเด่นที่เป็นไฮไลท์ของวันนี้ "ไม่พูดถึง..ไม่ได้เด็ดขาด" สายสืบรายงานด่วนๆ มาว่าบอร์ดของ OTO อนุมัติแต่งตั้ง “บัณฑิต สะเพียรชัย” พาร์ทเนอร์ใหม่ขึ้นแท่น CEO ของ OTO แล้วคร๊าฟฟฟฟฟฟ ให้มีผล 1 ก.ค.นี้ ปรบมือรัวๆๆๆๆ ไปเลยซิคะ..ได้ผู้บริหารมือดี-วิชั่นไกล-คอนเนคชั่น+พันธมิตรทั่วโลก มานั่งบริหารงานแบบนี้ มองอนาคตใสๆ เลย เรื่องที่มีแผนขยายการลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในช่วงครี่งหลังของปีนี้ ซึ่งจะทำให้บริษัทฯมีรายได้ประจำ (Recuring Income) สนับสนุนธุรกิจเติบโตอย่างแข็งแกร่งในอนาคต นอกเหนือจากรายได้ธุรกิจ Contact Center และ Call Center ได้เห็นในอนาคตอันใกล้นี้แร่ะ!!!
***ปล. มีอีกเรื่องที่ขอย้ำเอาไว้อีกครั้งคือ OTO ยังมีแผนขยายการลงทุน EV Bike และเข้าสู่ Climate Tech ผ่านการจัดตั้ง บริษัท ซีซีเอส คาร์บอน เคลียร์ โซลูชั่น ทำธุรกิจให้บริการบริหารจัดการคาร์บอนเครดิตครบวงจร ซึ่งจะช่วยผลักดันแนวโน้มผลการดำเนินงานในปี 2566 เติบโตอย่างก้าวกระโดด
***ปิดท้ายวันนี้กับหุ้นดีและอนาคตไกลอีกตัวคือ PCC ครั้งนี้ "อมร แดงโชติ" รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ออกมาส่งซิกเรื่องแนวโน้มผลงานไตรมาส 2/2566 คาดว่าจะเติบโตได้ดีต่อเนื่อง โดย PCC พร้อมใส่เกียร์เดินหน้าเข้าร่วมประมูลงานใหม่เต็มพิกัด ส่วนภาพรวมทั้งปี 2566 ตั้งเป้ารายได้จะเติบโตจากปีก่อนที่ทำได้ 4,860 ล้านบาท นอกจากนี้มีอีกเรื่องที่น่าสนใจคือมองเห็นโอกาสการเติบโตจากการที่ Tesla มีแผนจะขยายสถานีชาร์จ Tesla Supercharger ซึ่งในไตรมาสแรกที่ผ่านมา PCC ได้รับงานจาก Tesla แล้วในการติดตั้งระบบจำนวน 2 สถานีชาร์จ ว๊าววววว..เจ๋งสุดๆ ไปเลย